วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บรรยายและเสวนา "การสร้างภาพตัวแทน "ความเป็นล้านนา" ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว"

(โปรดคลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)

บรรยายและนำเสวนาโดย อ.กษมาพร แสงสุระธรรม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556 เวลา 9.30-12.30 น.
ณ ห้องประชุมมะกรูด คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์

ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์

วิกฤติที่ไร้เสียง และการหันกลับมาศึกษามนุษยศาสตร์เพื่อความเป็นมนุษย์

บัณฑิต ไกรวิจิตร
อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสต


ในระดับโลกถึงแม้ผู้นำจำนวนมากในโลกจะพยายามอย่างเร่งด่วนในการหาหนทางแก้ไขปัญหาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสิ้นหวัง ปัญหาใหญ่….ก็คือ ปัญหาสภาวะวิกฤตของการศึกษาระดับโลก ปัญหาใหญ่โตร้ายแรงที่จะติดตามมาอีกก็คือ “ปัญหาประชาธิปไตยในการปกครองตนเองได้ในอนาคต”


ข้างต้นเป็นคำอธิบายถึงวิกฤติประชาธิปไตย จากนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงร่วมสมัยได้เสนอเกี่ยวกับระบบการศึกษาซึ่งน่าประทับใจมาก เธอชื่อ มาธา ซี. นุสบอม (Martha C. Nussbaum)




จำได้ว่าในวัยเด็กชั้นมัธยมได้อ่านหนังสือแปลไทยปรัชญาด้านการศึกษาชาวต่างประเทศ เช่นท่าน รพินทรนาถ ฐากูร และอีกหลายท่าน เช่น เฮอมาน เฮสเส (Hermann Hesse) ตอลสตอย (Leo Tolstoy) และที่ตื่นเต้นมากสำหรับผมก็คือ ดอสโตเยฟสกี้ (Fyodor Dostoyevsky) และได้เสริมจินตนาการให้ลึกซึ้งมากขึ้นจาก มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ (Michael Ende) โดยเฉพาะ จินตนาการไม่รู้จบและเรื่องโมโม่ แต่จะว่าไปแล้วการอ่านหนังสือในวัยเด็กกับการอ่านในวันนี้นั้นแตกต่างกันมากพอสมควร การอ่านในวันนี้ชักนำผมไปอีกทิศทางหนึ่งของโลกจินตนาการแต่แน่นอนการอ่านในวันนี้มีพื้นฐานการอ่านจากวัยเด็ก การอ่านในวัยเด็กสำคัญมากหรือ เราให้อะไรแก่วัยเด็กของเราบ้าง เราให้อะไรแก่ลูกของเราและลูกศิษย์ ของเรา

ผมยังจำใบหน้าเพื่อนสมัยเรียน โรงเรียนอำนวยศิลป์ ผู้แนะนำให้ผมอ่าน จิตร ภูมิศักดิ์ และเฮสเส ระบบการศึกษาไหนกันนะที่เพื่อนผมเมื่อ 30 กว่าปีมาแล้วชักจูงให้ผมหลงใหลการอ่าน และยังนำนิยายเรื่องแม่ที่จิตรแปลไปทิ้งไว้ที่บ้านนอกให้แม่อ่านจนจบได้ ผมจำครูห้องสมุดโรงเรียน อำนวยศิลป์ ผู้แนะนำให้ผมอ่าน “จ่าง แซ่ตั้ง” และนักเขียนดังๆผู้นิยมประชาชน การเมือง ประชาธิปไตย ผมต่อติดกับความคิดทางการเมืองหลังเชื่ออยู่นานว่า “ประชาธิปไตยคือ การเมืองซึ่งโดยประชาชนปกครองประชาชนปกเพื่อประชาชน” เป็นเรื่องหลอกเด็กและชาวบ้านเหมือนนิยาย แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเชื่อถือการโฆษณาโดยรัฐเช่นนี้ ว่า “ประเทศไทยควรไปให้ถึง”

ผมต้องขอโทษที่อารัมภบทซะมากมายถึงโรงเรียนของผมในอดีต โรงเรียนอำนวยศิลป์เป็นโรงเรียนเอกชน และผมไม่สามารถเรียนรู้อะไรที่อยู่นอกกฎเกณฑ์ ดูเป็นหัวก้าวหน้า วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองและความยุติธรรมได้เลยหากยังคงเรียนอยู่โรงเรียนรัฐฯ งานเขียนของอิสรา อมันตรกุล คงไม่สามารถทำอะไรกับคนอย่างผมได้ ผมเข้าโรงเรียนในรุ่นที่ 64 นับว่าเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่มาก ถึงแม้ผมจะเชื่อว่า “หนังสือมันเลือกคนอ่าน” แต่ผมก็เชื่อด้วยว่า “หนังสือไม่ได้วิ่งมาหาเราเอง” หนังสือมันเลือกเราก็ต่อเมื่อเราเพาะปลูกมันในเรือนร่างของเรา เรามีส่วนหนึ่งที่เป็นมัน เมื่อเราเดินในร้านหนังสือ ห้องสมุด ร้านออนไลน์ มันจึงเลือกเราให้หยิบมัน ซื้อ ทำสำเนา ยืม เพราะเรามีกันและกัน เป็นส่วนหนึ่งที่เราอยากอ่าน





จากหนังสือ “การศึกษา” ไม่ใช่เพื่อมุ่งสู่กำไร: ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์” (Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities) ในวันที่ประชาธิปไตยในบ้านของเรามีปัญหาอย่างที่สุด ที่มีปัญหาที่สุดนั้นไม่ใช่เพราะเรามีรัฐบาลที่มาจากการสมรู้ร่วมคิดกับเผด็จการทำการรัฐประหาร เช่น พรรคประชาธิปปัตย์ เคยเป็น หรือเราได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่มาแต่เพียงในนาม ตามที่มีการวิพากษ์รัฐบาลคุณยิ่งรัก สิ่งที่ต้องคิดในวันนี้ ก็คือ “วิกฤติสำคัญมากของเรา” ก็คือ เรา มีเสรีภาพในการกดขี่คนอื่นจากความได้เปรียบไม่ว่าได้เปรียบจากฐานะทางเศรษฐกิจ หรือการศึกษา และเราสามารถอธิบายมันได้โดยอ้างอิงกลับไปที่เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ที่แย่กว่านั้น บางคนอ้างเสรีภาพของตนเองเสนอให้ทหารทำการรัฐประหารโค่นล้มระบบการปกครองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาคิดว่าเขามีเสรีภาพที่จะทำลายระบบที่คุ้มครองทุกคนให้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย กระทำการแทนประชาชนทั้งมวลของประเทศด้วยการชุมนุมจากคนจำนวนน้อยนิด และไม่เห็นว่าระบบเผด็จการคือศัตรูสำหรับประชาชนและประชาธิปไตย เขาเห็นว่า เผด็จการคือสิ่งที่เขาต้องการ เรียกร้อง เพื่อปรนเปรอ ความรู้สึกเห็นแก่ตัว ความมักง่ายที่ต้องการชนะ ตัวแทนของประชาชน จนสามารถทำลายระบอบทั้งหมดได้ โดยอ้างเสรีภาพจากระบอบประชาธิปไตย สิ่งนี้คือวิกฤติ และยังทำการฝังตัวอยู่ในความคิดเหมือนมีผีคอยดลบันดาลใจให้ทุกเรื่องเลื่อนเข้ามาสู่กรอบนี้ และเติบโตขึ้นทุกวัน วิกฤติประชาธิปไตยในวันนี้ ก็คือ ครูและอาจารย์ไม่ได้เชื่อมั่นและสอนให้ลูกศิษย์เข้าใจประชาธิปไตย แต่สอนให้พวกเขาสนองความต้องการของครูและอาจารย์ พวกเขาไม่เดือดร้อนกับประชาธิปไตยที่กำลังอับปรางลง จริงๆหรือ


สำหรับประเทศเสาหลักเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย นุสบอมชี้ชวนให้ชาวโลกตระหนักถึงวิกฤติของปัญหาที่สำคัญในระดับโลกถึงแม้ผู้นำจำนวนมากในโลกจะพยายามอย่างเร่งด่วนในการหาหนทางแก้ไขปัญหาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสิ้นหวัง ปัญหาใหญ่ที่ถูกนำเสนอก็คือ ปัญหาสภาวะวิกฤตของการศึกษาระดับโลก ปัญหาใหญ่โตร้ายแรงที่จะติดตามมาอีกก็คือ “ปัญหาประชาธิปไตยในการปกครองตนเองได้ในอนาคต” การศึกษาได้ละทิ้งการสร้างสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาตนเองเพื่อความเป็นมนุษย์แต่แทนที่ด้วยความคิดเชิงจักรกล ลดทอนความหลากหลายของคุณค่า ขาดความเข้าใจต่อความไม่เหมือนและขาดความอดทนต่อความแตกต่าง ปลูกฝังค่านิยมของการได้ประโยชน์สูงสุด โดยการศึกษาคือบันไดไปสู่ความฝันและจินตนาการที่จะเป็นคนที่แตกต่าง


สิ่งที่เกิดขึ้นมันขัดแย้งกันเองอย่างเหลือเชื่อ ผมคิดว่า ความต้องการแตกต่างกำชับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้เหมือนกัน คิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน ทำเหมือนกัน และที่ไม่ควรลืมคือ ทุกคนต่างก็ “กลัวเหมือนกัน” อีกด้วย ระบบการศึกษาวันนี้มันย้อนศร จากความเข้าใจและอดทนต่อความไม่เหมือนและการศึกษาเพื่อความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ห่อหุ้มจิตใจและร่างกายในความแตกต่างแต่มุ่งไปสู่จุดเดียวกันคือ “ความเป็นมนุษย์” ที่มีองค์รวมเดียวไม่ว่าจะศาสนาใด ชาติพันธุ์ รัฐ ชาติ ยากดีมีจน ไม่ว่าชนชั้นไหนต่างเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์มนุษย์เดียวกัน แต่การศึกษาปัจจุบันให้ความสำคัญแก่การได้โอกาสที่จะแตกต่างออกไป บนพื้นฐานที่ว่าหากแตกต่างแล้วจะได้ประโยชน์แก่ตัวเองและคนใกล้ชิดแคบๆ แต่ลืมมองไปว่า คนจำนวนมากต่างก็แข่งขันเพื่อการนี้ จึงได้สร้างเด็กรุ่นใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ มีบุคลิกภาพแข่งขันเพื่อความแตกต่างและบุคลิกของความสิ้นหวัง ดังนั้นจึงทำให้เกิดการยุบตัวของประเพณีเดิมของการศึกษาเดิม คือไม่ได้มีปรัชญาการศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์และหากต้องการได้รับความสำเร็จ การศึกษานั้นได้หันกลับมาทำลายความเป็นมนุษย์ เพื่อสิ่งใด? ก็เพื่อประโยชน์นั่นเอง และได้หันเหพลเมืองให้เข้าร่วมประชาธิปไตยเพื่อให้ตนเองบรรลุผลความต้องการในประโยชน์


สถานการณ์ในขณะนี้นั้นรัฐบาลทั่วโลกต่างก็ละเลยความสามารถของตนเองที่จะรักษาประชาธิปไตยให้อยู่รอดได้ มุ่งเน้นที่ผลกำไรแห่งชาติ โดยจัดระบบการศึกษาเพื่อตอบสนองต่อความกระหายในกำไรดังกล่าว หากยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป ชาติต่างๆ ในโลกจะผลิตเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถใช้เครื่องจักรมากว่าจะเป็นพลเมืองที่มีความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นสิ่งที่ติดตามมาก็คือปัญหาประชาธิปไตย จากปัญหาคุณภาพของพลเมืองนั่นเอง


พลเมืองที่สมบูรณ์แบบคืออะไร ก็คือพลเมืองที่มีความสามารถในการคิดได้ด้วยตนเอง วิจารณ์ระเบียบแบบแผน ประเพณีเดิม มีความเข้าใจในความหมายของความเจ็บปวดและความสำเร็จของบุคคลอื่น ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้นานาชาติกำลังอยู่ระหว่างปัญหาการสร้างความสมดุลของการพัฒนาระบบการศึกษาที่แขวนไว้กับความกระหายหิวการทำกำไรของชาติและความเป็นพลเมืองที่พร้อม ประชาธิปไตยของชาติจึงถูกแขวนไว้กับระบบดังกล่าว การออกจากปัญหานี้ได้นั้น พลเมืองของชาติจะต้องมีความพร้อมเสียก่อน ความพร้อมของพลเมืองคือตัวตัดสินนั่นเอง


อะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จนถึงรากถึงฐาน เช่นนี้ ได้ นุสบอมอธิบายว่าปัจจุบันรัฐบาลได้ตัดความรู้ทางด้านมนุษยศาสตร์ (the humanity) และศิลปะ ออกจากระบบการศึกษาชั้นต้นและชั้นที่สอง รวมถึงในระดับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย เพราะผู้บริหารและผู้วางนโยบายชาติมีความเข้าใจผิดว่าวิชาดังกล่าวคือสิ่งตกแต่งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้กับการแข่งขันในระดับตลาดโลก ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้เราสูญเสียหลักสูตรการศึกษาที่เรียนรู้ด้วยสำนึกและหัวใจไป สิ่งที่สูญเสียไปก็คือความคิดในเชิงมนุษย์นิยม (humanistic) ในสาขาของวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่ควรมีแต่ไม่มีก็คือ “การมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความคิดในเชิงวิพากษ์” นโยบายในประเทศทั้งหลายแหล่ต้องการกำไรในระยะสั้น จึงบ่มเพาะเยาวชนให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์โดยรัฐบาลสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เป็นพลเมืองที่มีความเชี่ยวชาญสูง และเป็นมนุษย์ผู้เหมาะสมสำหรับการค้ากำไร ยกตัวอย่างว่าหากวิเคราะห์แล้วตลาดแรงงานของสามจังหวัดภาคใต้ที่ต้องการก็คือกำลังแรงงานผู้เชี่ยวชาญในสาขาเสมียนสำนักงาน เรียนจบปริญญาตรีและวุฒิบัตรระดับสูง การวางนโยบายก็สนับสนุนไปในแนวทางนั้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ ขาดแรงงานภาคการเกษตรและประมง บุตรหลานเรียนจบไม่ต้องการพัฒนาชีวิตจากแหล่งให้ชีวิตเดิม แรงงานรับจ้างจากต่างประเทศจึงเข้ามาอย่างท่วมท้นและกระจัดกระจาย ดังคำที่นุสบอมกล่าว “วิกฤติการณ์ดังกล่าวอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ปัจจุบันเรายังไม่เผชิญหน้ากับมัน” (Nussbaum 2010: 2)


จากการศึกษาตัวอย่างการวางแนวทางการแก้ไขปัญหาการศึกษาของชาติต่างๆทำให้พบกับ ปัญหาที่น่านำมาสู่การถกเถียงกันอย่างจริงจัง เช่น

ตัวอย่างแรก คือ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีรายงานปัญหาของการศึกษาระดับสูง วิพากษ์การดำเนินนโยบายการศึกษาว่าสิทธิในการเข้าถึงนั้นไม่เท่าเทียมกัน แต่เนื้อความของรายงานให้ความสนใจอยู่แต่การเพิ่มประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และระบุอุปสรรคว่าขาดแคลนบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวิศวกร รายงานไม่ได้ระบุความขาดแคลนบุคคลากรในวิชาชีพอื่น บุคลากรที่ขาดแคลนในแรงงานทั้งหมดนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์และไม่สนใจพัฒนาบุคลากรพื้นฐานการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องสงสัยเลย มนุษยศาสตร์ หรือศิลปะ สาขาเหล่านี้ถูกตัดออกไปจากสถานภาพขาดแคลน





ตัวอย่างที่สอง ปี 2004 นักวิชาการจากหลายประเทศได้ทำการถกเถียงกันเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาของ รพินทรนาถ ฐากูร (Rbindranath Tagore) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) สาขาวรรณกรรม เมื่อปี 1913 และเขายังเป็นผู้คิดค้นระบบการศึกษาอีกด้วย รพินทรนาถคือผู้ทดลองระบบการศึกษา และสร้างอิทธิพลขยายไปในวงกว้าง เช่น ในยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา นักการศึกษาเหล่านี้สนใจการเพิ่มศักยภาพให้แก่นักศึกษา โดยการฝึกปฏิบัติที่เรียกว่า การถกเถียงแบบโซเครติส “Socratic Argument” นอกจากนี้ยังให้ทุกหลักสูตรเพิ่มการแสดงดนตรี วิจิตรศิลป์ การแสดงละคร และเต้นรำอยู่ในหลักสูตรด้วย แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ระบบการศึกษานี้กลับไม่ค่อยมีในประเทศอินเดียแล้ว และยังถูกดูแคลนวิธีการของ ฐากูร อีกด้วย

ตัวอย่างที่สาม ปี 2005 ครูโรงเรียนในชิคาโกได้ยกเลิกการเรียนในห้องเรียน สถานที่แห่งนี้ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้เคยเป็นผู้ชักชวนบุกเบิกการทดลองปฏิรูปการศึกษาเพื่อประชาธิปไตย และ บารัค โอบาห์มาร์ (Barack Obama) ได้เคยส่งลูกสาวของตัวเองมาเรียนอยู่ที่นี่ด้วย ครูต่างๆ ได้รวบรวมข้อถกเถียงเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อประชาธิปไตยของพลเมืองตามแนวทางของ นักปรัชญาดิวอี้ห์ ข้อสรุปก็คือ มีความใกล้เคียงกับวิธีการของ รพินทรนาถที่อินเดีย ครูซึ่งมีความภาคภูมิใจกับการกระตุ้นเด็กให้ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และจินตนาการ กลับพบกับความสับสน เกี่ยวกับความกดดันของพ่อแม่เด็กที่ไม่จริงใจต่อการศึกษาของลูก ทั้งๆที่พยายามส่งลูกเข้าโรงเรียนระดับนำ แต่ต้องการแค่ให้เด็กผ่านการทดสอบ คล้ายๆ กับการสร้างรายได้การเงิน คือความสำเร็จ และพ่อแม่เด็กพยายามที่จะเปลี่ยนแนวทางของโรงเรียน จึงเหมือนกับยาพิษของความสำเร็จ (Nussbaum 2010: 4)

นุสบอมอธิบายว่า “ดูเหมือนเรากำลังจะหลงลืมวิญญาณ ของเราไป” (Nussbaum 2010: 6) เขาเสนอให้เปิดจิตใจและสร้างความเชื่อมโยงจิตใจของตนเองกับบุคคลอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้อย่างมากมาย “การเปิดใจดังกล่าวอาจจะเพิ่มความสามารถให้มนุษย์เรามีความสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก” ซึ่งเหมาะสมกว่าความสัมพันธ์ที่มาจากการควบคุมจัดการการศึกษา (Nussbaum 2010: 6)

ดังนั้น ความสัมพันธ์แบบเสมอภาคและประชาธิปไตย อาจจะต้องล้มเหลว หากเราไม่สามารถเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น คือการเรียนรู้ที่จะจินตนาการถึงความสามารถ สติปัญญาภายในของคนอื่น ทั้งนี้ความคิดและอารมณ์ เพราะความเสมอภาคและประชาธิปไตยถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากความเคารพและความเป็นห่วง และสิ่งนี้มาจากความสามารถที่จะเข้าใจประชาชนคนอื่นว่าเป็นมนุษย์ไม่ใช่วัตถุ (Nussbaum 2010: 6)

แรงจูงใจที่ต้องการเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็คือมาจากความต้องการสร้างกำไร ซึ่งยากมากที่จะทำให้ชาติเข้มแข็ง เราไม่ได้คัดค้านวิทยาศาสตร์ที่ดี และการศึกษาเทคโนโลยี แต่สิ่งที่เราสนใจก็คือ ความสามารถอื่นๆ เช่นความเข้มแข็งของประชาธิปไตย ความเสมอภาคที่อยู่ภายใน และการสร้างสรรค์ของโลกที่ตกทอดมาในทางวัฒนธรรม ความสามารถที่จะมีการพบพานสังสรรค์กับมนุษยชาติ และสังสรรค์ในงานศิลปะ ความสามารถที่จะคิดอย่างวิพากษ์ ความสามารถที่จะทำให้ความภักดีต่อท้องถิ่นของตนล่องลอยไปพานพบและเข้าถึงปัญหาในโลกกว้างในฐานะที่ตนเองก็เป็น “พลเมืองโลก” (citizen of the world) และในท้ายที่สุดคือความสามารถที่จะจินตนาการเห็นอกเห็นใจบุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าตนเอง (Nussbaum 2010: 7)

ข้อเสนอของนุสบอม นั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างในสิ่งที่เรียกว่า “จิตวิญญาณของมนุษยศาสตร์ (the spirit of the humanities) คือ การค้นหาเพื่อที่จะสามารถวิพากษ์ทางความคิด และกล้าที่จะจินตนาการ เพื่อความเข้าใจ และเป็นผู้เอาใจใส่ในประสบการณ์ของมนุษย์ที่ล้วนมีความแตกต่างกัน และเข้าใจถึงความซับซ้อนของโลกที่เราอยู่อาศัย พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์บางส่วนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ให้ความสนใจต่อการศึกษาว่าจะต้องมีความสามารถวิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์เชิงตรรกะและการจินตนาการ วิทยาศาสตร์จะต้องแสวงหาเพื่อนจากมนุษยศาสตร์มากกว่าที่จะสร้างศัตรู คือการเป็นเพื่อนร่วมงานในการศึกษาบนหัวข้อเดียวกัน ซึ่งอาจจะได้รับความสำเร็จบนงานของมนุษยศาสตร์ก็ได้ สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบก็คือความสำเร็จของอินเดีย ซึ่งมีประเพณีการศึกษามนุษยศาสตร์และศิลปะเป็นแบบอย่างของทฤษฎีและการปฏิบัติที่พัฒนาจากรพินทรนาถ ส่วนสหรัฐอเมริการะบบการศึกษาที่ทดลองอยู่ก็คือ การพิจารณาตนเองอย่างละเอียดลออแบบโซเครติส (Socratic self-examination) ซึ่งทำอยู่ในโรงเรียนเอกชน แต่ทั้งนี้ก็คาดหวังด้วยว่าการจัดระบบการศึกษาควรขยายเข้าสู่ครอบครัวของเด็กด้วย เนื่องจากสิ่งแวดล้อมของเด็กมีทั้งวัฒนธรรมคล้ายและวัฒนธรรมต่าง เมื่อสัมพันธ์กับโลกรายรอบตัว การศึกษาถึงมาตรฐานทางสังคม สถาบันทางการเมือง โรงเรียน และครอบครัว ก็มีความสำคัญและมีส่วนในการสร้างความสำเร็จนี้ให้เกิดขึ้น

นุสบอมชี้ชวนให้ผู้อ่านเห็นด้วยกับเขาว่า “หากเราจะตระหนักถึงว่าจะพัฒนาพลเมืองของเรา เราก็จะต้องให้ความสนใจโดยไม่เบี่ยงเบนไปจากจุดสนใจนี้” (Nussbaum 2010: 9) การศึกษาของรัฐบาลหลายประเทศไม่ใช่การศึกษาเพื่อพลเมืองแต่เป็นการศึกษาเพื่อเตรียมประชาชนเข้าสู่การทำงาน อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าทั้งหลายมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ชีวิตมนุษย์ที่มีเหตุผลแตกต่างกันในหมู่พลเมือง เช่นมีศาสนาที่แตกต่าง มีความคิดเกี่ยวกับโลก วิถีชีวิตที่แตกต่าง ซึ่งพลเมืองมีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่จะต้องคิดก็คือ จะให้การศึกษามนุษยชาติที่มีหลายประเภทโดยมีการสนับสนุนเป้าหมายเฉพาะแต่ละบุคคลได้นั้นทำอย่างไร เราอาจจะต้องเห็นด้วยกับชาติต่างๆ ที่อยู่คนละฟากโลก ยินดีกับพวกเขาที่มีประชาธิปไตยและต้องการเติบโตขึ้นมามีส่วนร่วมกับรัฐบาลที่ประชาชนใช้สิทธิ์เลือกเขาเข้ามาทำงาน สังคมประชาธิปไตยในทุกที่ต่างก็มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย เช่น มีความแตกต่างทางศาสนา ชาติพันธุ์ ความมั่งคั่ง และชนชั้น ความแตกต่างทางกายภาพ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเพศสภาพ แต่พวกเขาก็คือผู้ลงคะแนนเสียงเพื่อสร้างทางเลือกต่อวิถีชีวิตท่ามกลางประชาชนที่มีความแตกต่างจากตัวเองเช่นกัน “ทางหนึ่งที่ดีก็คือการเตรียมเด็กให้ได้รับการศึกษาที่ทำให้เกิดคำถามว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร วิธีการนี้จะสามารถทำให้ชีวิตในรูปแบบองค์กรทางสังคม และการเมืองมีโฉมหน้าลักษณะเฉพาะขึ้นมาได้” (Nussbaum 2010: 9-10)

สรุปว่าหากไม่มีการสนับสนุนการศึกษาที่เหมาะสม ก็จะไม่มีประชาธิปไตยที่มั่นคงได้ จึงต้องบ่มเพาะความสามารถในการคิดอย่างวิพากษ์และสะท้อนถึงปัญหาที่ยากเย็น ต่อภารกิจอันที่จะเก็บรักษาชีวิตประชาธิปไตยให้อยู่รอดได้ และขยายวงของประชาธิปไตยออกไปได้ ความสามารถในการคิดได้ดีเกี่ยวกับวัฒนธรรมในวงกว้าง กลุ่มและชาติในบริบทของเศรษฐกิจโลก และประวัติศาสตร์ของชาติที่หลากหลาย และมีปฏิสัมพันธ์กลุ่ม ซึ่งเป็นความยากของการควบคุมการวางระเบียบที่ทำให้ประชาธิปไตยทำงานได้ในการตอบสนองกับปัญหาปัจจุบัน ซึ่งสมาชิกในโลกที่พึ่งพาอาศัยกันและกัน และมีความสามารถที่จะจินตนาการประสบการณ์อื่นๆ ความสามารถที่จะรองรับมนุษย์ทั้งหมดและสังคมมีความต้องการที่จะยกระดับปรับปรุง หากเรามีความหวังที่จะรักษาสถานะที่ตกทอดเป็นมรดกข้ามการแบ่งชั้นแตกต่างไม่เท่าเทียมกันเป็นจำนวนมากเพื่อให้สังคมสมัยใหม่ดำรงอยู่ได้

ส่วนผลประโยชน์ของชาติในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ก็คือต้องเรียกร้องต่อการแสวงหาทางเศรษฐกิจแบบเข้มข้น และเรียกร้องต่อวัฒนธรรมสิ่งตกแต่งทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเราจะต้องไม่เลือกระหว่างการศึกษาเพื่อกำไร หรือการศึกษาเพื่อพลเมืองที่ดี สิ่งที่ควรทำก็คือการศึกษาเพื่อความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและจะต้องใส่ใจกับความมั่นคงของประชาธิปไตย “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจหมายถึงมีมนุษย์เป็นที่สิ้นสุดจุดจบ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวเศรษฐกิจเอง” (Nussbaum 2010: 10)

สุดท้าย ณ จุดนี้ สิ่งพึงระวังก็คือ “ไม่มีระบบการศึกษาใดจะทำงานได้ดี หากผลกำไรส่งผลดีต่อเฉพาะคนร่ำรวย ซึ่งเป็นผู้นำ” การกระจายโอกาสการศึกษาและการได้รับคุณภาพการศึกษา เป็นประเด็นที่เร่งด่วนมากสำหรับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ประเทศประเทศสหรัฐอเมริกาถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใด แต่ก็มีเรื่องที่น่าอายที่การกระจายตัวของระบบการศึกษาและคุณภาพการศึกษาไม่มีความเท่าเทียมกัน แต่ผมไม่รู้จริงๆว่า การเร่งกระชับให้เยาวชนได้รับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน 


บรรณานุกรม
Nussbaum, Martha C'. Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanties. Princeton and Oxford: Princeton University Prees, 2010.

บทความนี้แก้ไขปรับปรุงจาก บทความ 
วิกฤติที่ไร้เสียง และการหันกลับมาศึกษามนุษยศาสตร์เพื่อความเป็นมนุษย์

เผยแพร่ที่ http://www.pataniforum.com/news_detail.php?news_id=16
วันที่ 31 Dec 2011

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เสวนาจี๊ดหัวใจชาวมนุษยศาสตร์ รับปีใหม่ 2557


ความรู้ : กินไม่ได้ ขายไม่ออก ไร้ “ประโยชน์” แต่ใช่

วันพุธที่ 15 มกราคม 2556 เวลา 14.00 - 16.00 น.

ณ ห้องมะปราง ตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

 

มนุษย์เกิดมา กิน ขี้ ปี้ นอน และทำงาน เราเลยต้องหาอะไรที่ทำให้กิจกรรมพื้นๆ ของเราซับซ้อนยิ่งๆ ขึ้นไป ความรู้เลยทำให้อาหารอร่อย ความรู้เลยทำให้เรามีชักโครกพร้อมที่ฉีดตูด ความรู้เลยทำให้ “ของ” แข็งและไม่มีมารหัวขน และความรู้ทำให้เราหลับสบายๆ ไร้ไรฝุ่น ทั้งหมดนี้คือความรู้ที่มีประโยชน์ทั้งสิ้น และก็เพราะความรู้แบบนี้แหละที่ทำให้เรามีเงินใช้และมีงานทำ ความรู้จึงต้องทำให้เรามีกินได้ มันต้องขายได้และใช้ประโยชน์ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เราชื่นชมความงาม สิ้นสงสัย และให้อภัย ไม่เป็นความรู้กระนั้นหรือ พบกับความรู้ที่ใช่แต่ไร้ประโยชน์ในเดือนมกราคมนี้ โดย อ.อารีย์ ธรรมโคร่ง และอ.รชฎ สาตราวุธ

คำโปรยจี้ใจดำจาก อ.รชฎ สาตราวุธ 

กิจกรรมตั้งวงเล่า เม้าท์วิชาการ ประจำเดือนธันวาคม 2556

กระบี่เย้ยยุทธจักร: วิญญูชนจอมปลอม

วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2556 เวลา 14.00 - 16.00 น.

ณ ห้องมะปราง ตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์



โลกนี้มีแต่คนดีกับคนชั่วหรืออย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นใครบ้างที่เป็นคนดี และใครบ้างที่เป็นคนชั่ว คนชั่วที่ช่วยเหลือคนจนไร้โอกาสยังเป็นคนชั่วอยู่หรือไม่ คนดีที่มุ่งหวังตำแหน่งสูง ทะเยอทะยาน และรังแกผู้คน ยังเป็นคนดีกระนั้นหรือ หรือคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดนี้อยู่ที่ไหน หลิงหูชง ตัวเอกในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรคือผู้ที่จะเล่าเรื่องราวอันซับซ้อนนี้ สำหรับหลิงหูชง ผู้ดีที่ขโมยของ ผู้ร้ายที่ปกป้องมิตร ฝ่ายธรรมะที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ฝ่ายอธรรมผู้ไม่เสแสร้ง ล้วนอยู่ในห้วงคำนึงของศิษย์หัวซานผู้นี้ หรือสิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคือความจอมปลอมของมนุษย์ เป็นไปได้หรือมี่คนที่พร่ำพรรณาถึงความดีแท้จริงแล้วคือคนที่เลวที่สุด ร่วมหาและถกคำตอบได้กับ อ.ดร.พิเชษฐ์ แสงทอง อ.ดร.สรรวภัทร พัฒโร อ.วีระพงศ์ ยศบุญเรือง และ อ.รชฎ สาตราวุธ ได้ ณ ห้องมะปราง ในกิจกรรมบ่ายวันพุธ วันที่ 11 ธันวาคม 2556 เวลา 14.00 - 16.00 น.

คำโปรยแซ่บถึงใจโดย อ.รชฎ สาตราวุธ

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พลาดไม่ได้! กิจกรรมเสวนาวิชาการของชาวมนุษยศาสตร์ประจำเดือนพฤศจิกายน 2556

มาแล้วค่ะ กิจกรรมเสวนาวิชาการของสหายกลุ่มวิจัยมนุษยศาสตร์ปัตตานี (Pattani Humanities Research Group) ประเดิมด้วยการเสวนาเข้มข้นเผ็ดมันสองงานในเดือนพฤศจิกายนนี้ ขอเชิญชวนคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาทุกคณะทุกชั้นปีที่สนใจเข้าร่วมการเสวนานี้
(ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่มีของว่างแจก หน่วยกิตกิจกรรมจะได้หรือไม่ ทางผู้จัดจะสอบถามพี่ตุ้มหรือฝ่ายกิจการนักศึกษาของคณะมนส.ให้อีกทีนะจ๊ะ)

 

 งานแรก มาร์กซ์: การเมืองในปรัชญาและประวัติศาสตร์

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13.30 - 16.00 น. ณ ห้องมะกรูด 50333 ตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 



ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของ มาร์กซ์ในฐานะนักปรัชญาการเมือง ปรัชญาของมาร์กซ์ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์มากมายให้กับประเด็นที่ยุ่งยากในทางการเมือง แต่ปรัชญาของ   มาร์กซ์ยังมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมการเมืองระดับโลก ในรัสเซีย จีน หรือแม้แต่ประเทศไทยเอง ก็ยังมี “ปีศาจ” คอมมิวนิสต์หลอกหลอนมาจนถึงปัจจุบัน เสวนามาร์กซ์ในครั้งนี้ จะพยายามฉายภาพของมาร์กซ์ในฐานะนักปรัชญาการเมือง ที่เชื่อว่าทฤษฎีของตนเองเป็นสากล และมาร์กซ์ในฐานะกระแสทางการเมืองกระแสหนึ่งในประวัติศาตร์ ปรัชญาของมาร์กซ์เริ่มต้นในยุโรปก็จริง แต่ก็เดินทางข้ามผ่านบริบททางการเมืองของประเทศต่างๆ อีกด้วย อ.ดร. สรรวภัทร พัฒโร (ภาควิชาปรัชญา) จะฉายภาพความยิ่งใหญ่ของมาร์กซ์ในปรัชญาการเมือง ในขณะที่ อ.พุทธพล มงคลวรวรรณ (ภาควิชาประวัติศาสตร์) จะพาเราเดินทางไปในดินแดนต่างๆ เพื่อดูว่ามาร์กซ์ลูกผสมมีหน้าตาป็นอย่างไร ขอเชิญผู้ที่สนใจร่วมปฏิวัติพร้อมกัน ณ ห้อง มะกรูด 50333 ห้องประชุมเล็กข้างห้องภาควิชาประวัติศาสตร์

 

งานที่สอง กฎมีไว้กด?: เที่ยงธรรม ยุติธรรม ชอบธรรม คุณธรรม

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2556  เวลา 13.00 - 16.00 ณ ห้องมะเดื่อ ตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์


เบื่อไหมที่ต้องใส่เครื่องแบบ เบื่อไหมที่ต้องไหว้คนที่เราไม่อยากไหว้ เบื่อไหมที่ต้องจ่ายภาษี เบื่อไหมที่ต้องทำ มคอ. เบื่อไหมที่ทำอะไรใหม่ๆไม่ได้ หลายสิ่งที่เราเบื่อเรามักตั้งคำถาม แต่หลายครั้งคำตอบที่เราได้คือ “ก็มันเป็นกฎ” กฎที่สร้างโดยมนุษย์มีความหมายอย่างไร ทำไมจึงสำคัญถึงขนาดทอนเสรีภาพของเราได้ เรากำลังถูกกฎกดทับหรืออย่างไรกัน ในยุคที่เสรีภาพของมนุษย์เป็นคำตอบในทุกเรื่อง แต่ก็ดูเหมือนว่ากฎมิใช่สิ่งที่ปฏิเสธได้โดยง่าย หลายครั้งกฎทำหน้าที่ให้ความเที่ยงธรรม และยุติธรรมซึ่งขาดไม่ได้สำหรับสังคมที่เชื่อเรื่องเสรีภาพ และบ่อยครั้งที่กฎยืนยันความชอบธรรมของผู้ใช้กฎรวมไปถึงคุณธรรมของผู้ใช้กฎ ชีวิตต้องมีกฏไหม ถ้าต้องมี เสรีภาพของเราจะมีสถานะอย่างไร พบกับคำตอบที่มากไปกว่าคำถามได้ที่ห้อง มะเดื่อ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13.00-16.00 โดย อ.ดร. สรรวภัทร พัฒโร (ภาควิชาปรัชญา) อ.พุทธพล มงคลวรวรรณ  อ.วีระพงศ์ ยศบุญเรือง (ภาควิชาประวัติศาสตร์)  อ.ปริลักษณ์ กลิ่นช้าง (แผนกวิชาภาษาเยอรมัน) และอ.อารีลักษณ์ พูลทรัพย์ (คณะรัฐศาสตร์)

ขอขอบคุณ อ.รชฎ แห่งภาควิชาปรัชญา สำหรับคำโปรยอันเร้าใจเช่นนี้

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มาสร้างความคึกคักให้กับชาวมนุษยศาสตร์กันเถอะ

หลายท่านอาจสงสัยว่ากลุ่มวิจัยมนุษยศาสตร์ปัตตานี (Pattani Humanities Research Group) จะตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร แล้วจะทำอะไรกันบ้าง สมาชิกคือใคร แล้วทำไมไม่ไปรวมกันให้เป็นทางการตั้งเป็นหน่วยวิจัย RU (Research Unit) ให้เป็นเรื่องเป็นราว ได้ทั้งเงินและได้ทั้ง KPI คณะด้วยซะเลย

ลองแล้วค่ะ ลองเสนอขอตั้งเป็น​  RU ไปแล้ว แต่ก็อย่างที่ได้เกริ่นไปบ้างในโพสต์แรกว่า แนวทางการทำงานของเรา (หน่วยวิจัยมนุษยศาสตร์ คุณค่า และการตีความ) ไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐานของมหาวิทยาลัยในการตั้งเป็นหน่วยวิจัย (RU) ทั้งเรื่องการตีพิมพ์ในฐาน ISI  และการหาเงินทุนวิจัยจากภายนอกให้ได้ขั้นต่ำหกแสนบาท (แต่หากชาวมนุษยศาสตร์กลุ่มใดทำได้ ก็อยากจะเชียร์ให้ทำนะคะ จะได้มีหน่วยวิจัยทางสายมนุษยศาสตร์เป็นตัวเป็นตนจริงๆขึ้นมาในระบบของมหาวิทยาลัยเราเสียที) 

ถึงแม้จะไต่ไปไม่ถึง RU แต่เราก็ไม่อยากจะล้มเลิกความตั้งใจที่คิดที่พูดคุยกันไว้ จุดประสงค์หลักๆ คือเราอยากให้มีบรรยากาศทางวิชาการและการวิจัยแบบมนุษยศาสตร์ในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มอ. ปัตตานีของเราให้มันคึกคักมีชีวิตชีวา ไม่แน่ใจว่าท่านผู้อ่านจะเห็นและรู้สึกเหมือนกันบ้างหรือไม่ว่า ตอนนี้เวลามหาวิทยาลัยหรือแม้คณะฯพูดถึงเรื่องการทำวิจัย จะมุ่งไปที่เรื่องการทำแต้ม ทำ KPI เป็นหลัก เป็นการกดดัน force ให้ทุกคนต้องทำงานวิจัยเพื่อจะได้ผ่านการประเมินการประกันคุณภาพมากกว่าที่จะกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศทางวิชาการอันจะนำไปสู่การเกิดคำถามงานวิจัยต่อไป

อย่างที่เรารู้กันว่าการทำวิจัย ควรจะมาจากการมีคำถาม มากกว่าที่จะเริ่มต้นด้วยการที่ว่าเราต้องทำเพื่อให้ผ่านการประเมิน TOR หรือแม้กระทั่ง SAR การเริ่มแบบกลับหัวกลับหางเช่นนี้แทนที่จะจูงใจให้อยากทำวิจัยกลับกลายเป็นความรู้สึกต่อต้านมากกว่า ธรรมชาติของแต่ละศาสตร์ก็มีความแตกต่างกัน คำถามการวิจัย โจทย์ วิธีวิทยา ก็มีความแตกต่างกัน คุณค่าของแต่ละศาสตร์ก็แตกต่างกัน ในที่นี้มนุษยศาสตร์ดูจะตกที่นั่งลำบากที่สุด รู้สึกเหมือนกันไหมคะว่าคนมนุษยศาสตร์ถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำวิจัย หรือทำวิจัยน้อยเกินไปจากประชาคมคณะมนส.เรา เวลาพูดเรื่องวิจัยทีไร สายตาผู้บริหารจะพุ่งเป้ามาที่มนุษยศาสตร์ก่อนเลย ผู้บริหารฯก็พยายามนะคะ พยายามหาเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ สำหรับการทำวิจัยมาจัดอบรมให้เรา ทั้งเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมต่างๆ วิธีการวิเคราะห์สถิติแบบต่างๆ การสร้างเครื่องมือแบบสอบถาม รูปแบบการทำวิจัยเชิงสถาบัน การทำวิจัยในชั้นเรียน หรือแม้กระทั่งเคล็ดลับในการตีพิมพ์วารสารในฐานข้อมูล Scopus หรือ ISI ให้ได้ ทางผู้บริหารก็คงรู้สึกว่าจัดอะไรต่อมิอะไรช่วยเรื่องการวิจัยมากแล้วแต่ทำไมงานวิจัยยังไม่กระเตื้องขึ้นอีก

ผู้เขียนโพสต์นี้เห็นถึงความพยายามความตั้งใจดีของผู้บริหารคณะฯที่จะส่งเสริมการวิจัยในคณะให้คึกคักนะคะ แต่ก็นะมันกลับกลายเป็นว่าผิดฝาผิดตัว เครื่องมือต่างๆ ที่คณะฯจัดอบรมนั้นไม่ใช่เครื่องมือการทำงานของมนุษยศาสตร์เลย ปัญหาน่าจะมาจากที่สมาชิกคณะฯที่มาจากศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์อาจจะยังไม่มีความเข้าใจธรรมชาติของศาสตร์อย่างมนุษยศาสตร์มากพอ หรือประชาคมคณะเรายังไม่เข้าใจศาสตร์ของกันและกันมากพอก็เป็นไปได้ค่ะ ความรู้และคุณค่าของงานแบบมนุษยศาสตร์ เน้นการตีความและทำความเข้าใจความคิดความรู้สึกตลอดจนการกระทำของมนุษย์เป็นหลัก จุดมุ่งหมายของความรู้แบบมนุษยศาสตร์ไม่ได้เป็นไปเพื่อ การบริหารจัดการ หรือ การสร้างนวตกรรมเชิงพาณิชย์ คุณค่าของงานสายมนุษยศาสตร์ที่ว่านี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับหรือเห็นคุณค่าในสายตาของศาสตร์สาขาอื่นๆ พูดง่ายๆว่าความรู้แบบมนุษยศาสตร์นี้อยู่ยากในสังคม/ประชาคมที่ให้ความหมายกับความรู้ที่เรียวแคบลง เหลือแค่เพียงการเน้นการใช้ประโยชน์เชิงรูปธรรมไม่ว่าจะเป็นการเอาไปทำมาหากินได้และบริหารจัดการได้ 

ก็ถ้าประชาคมส่วนใหญ่ไม่เข้าใจธรรมชาติและเห็นคุณค่าในงานทางมนุษยศาสตร์มากเท่าที่ควร ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของชาวมนุษยศาสตร์เองที่จะต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในประชาคมคณะมนส.มากขึ้น และจัดกิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างบรรยากาศทางวิชาการ และส่งเสริมการวิจัยในแนวทางมนุษยศาสตร์ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

งานวิจัยและวิชาการด้านมนุษยศาสตร์นอกจากจะเป็นภารกิจหลักของแต่ละภาควิชาหรือแผนกวิชาที่เปิดหลักสูตรทางด้านมนุษยศาสตร์จะเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการแล้ว กลุ่มวิจัยมนุษยศาสตร์ปัตตานี (Pattani Humanities Research Group) จะเป็นเหมือนตัวเสริมตัวแจม สำหรับงานหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่ได้มีเจ้าภาพหลักเราก็จะอาสามาเป็นผู้ประสานงาน ประชาสัมพันธ์และดำเนินการจัดกิจกรรมให้ (แต่เราไม่มีงบประมาณนะจ๊ะ ทำด้วยใจและแรงล้วนๆ) ส่วนกิจกรรมต่างๆ ที่มีภาควิชาหรือแผนกวิชาเป็นเจ้าภาพอยู่แล้ว หากเป็นงานด้านมนุษยศาสตร์แล้วล่ะก็เราก็จะขอแจมเต็มที่ ทั้งช่วยประชาสัมพันธ์ เรียกแขกทั้งอาจารย์ นักศึกษาและบุคลากรให้มาเข้าร่วมกันให้คึกคัก

กลุ่มนี้ดำรงอยู่และทำงานแบบ Freeform ใครๆก็เป็นสมาชิกขอเพียงมีใจมีความต้องการสร้างบรรยากาศการวิจัยและการมองโลกแบบมนุษยศาสตร์ให้เกิดขึ้นในประชาคมคณะมนส. กิจกรรมก็แล้วแต่บรรดามิตรสหายจะสร้างสรรค์ การทำงานและกิจกรรมก็เปิดกว้างไม่ใช่แค่เพียงชาวมนุษยศาสตร์และไม่ใช่แค่คณาจารย์เท่านั้น แต่รวมถึงชาว สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์  รวมถึงนักศึกษา บุคลากรทุกแขนงที่มีใจอยากจะเข้าใจโลกแบบมนุษยศาสตร์ เรายินดีต้อนรับหมดทุกคนค่ะ 

จากนี้ต่อไปเราจะมีการจัดกิจกรรมเป็นระยะๆ ทั้งที่กลุ่มร่วมกันจัดเอง และกิจกรรมของภาควิชาและแผนกวิชาต่างๆ เราจะมาประชาสัมพันธ์ และเขียนสรุปเล่าสู่กันฟังต่อไปค่ะ ใครมีไอเดียหรือจะจัดกิจกรรมแบบมนุษยศาสตร์ๆใดใดส่งข่าวมาทางนี้ด้วยนะคะ ถ้าไม่ได้ร่วมจัดเราก็จะร่วมแจมสร้างบรรยากาศมนุษยศาสตร์ให้คึกคักมีชีวิตชีวากันค่ะ

ภมรี สุรเกียรติ
(อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์)

มนุษยศาสตร์ คืออะไร

มนุษยศาสตร์ (Humanities) คือศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ มุ่งทำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกทางอารมณ์ จินตนาการ ความฝัน ความหมาย คุณค่า คุณธรรม และจริยธรรม ที่มนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคลได้แสดงออกผ่านท่าทาง การกระทำ คำพูด งานเขียน หรือผ่านผลงานสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ โดยมีวิธีวิทยาหลัก (Methodology) อยู่ที่การตีความ (Interpretation) ความหมาย (Meaning) ที่ซ่อนแฝงอยู่ภายใน การศึกษาตีความนั้นมิได้ให้ความสำคัญแต่ด้านอัตวิสัย (Subjectivity) เท่านั้นแต่ยังบูรณาการมิติของภววิสัย (Objectivity) เข้าไว้ด้วยกัน เนื่องด้วยการรับรู้โลกภายนอกของมนุษย์ล้วนแล้วแต่สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับความเข้าใจโลกภายในของตนเอง

การวิจัยในโลกร่วมสมัยสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภทหลัก คือ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การวิจัยทางสังคมศาสตร์เชิงสถิติข้อมูล และการวิจัยทางมนุษยศาสตร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งหาแบบแผน ควบคุม และจัดระเบียบโลกกายภาพ ในขณะที่การวิจัยทางสังคมศาสตร์เชิงสถิติข้อมูลเน้นหาแบบแผน ควบคุม และจัดระเบียบมนุษย์ในมิติโลกกายภาพ แต่การวิจัยทางมนุษยศาสตร์มิได้มุ่งหาแบบแผน ควบคุม และจัดระเบียบมนุษย์และโลกกายภาพ หากแต่เป็นการมุ่งศึกษาเพื่อให้เกิด "ความเข้าใจ" (Understanding) มนุษย์ในฐานะองค์ประธาน (Subject) ผู้มีอารมณ์ ความรู้สึก สำนึกคิด อันเกี่ยวร้อยถ้อยโยงกับตัวมนุษย์เองและโลกที่ห่อหุ้มมนุษย์ไว้ในความหมายที่กว้างที่สุด

มนุษยศาสตร์ แม้จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์โดยตรง แต่มิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะ "อธิบาย" พฤติกรรมหรือแบบแผนทางสังคมของมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เหมือนดังความมุ่งหมายของสาขาวิชาเฉพาะอื่นๆ เช่น พฤติกรรมศาสตร์ ประชากรศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา และการจัดการ เป็นต้น มนุษยศาสตร์ ศึกษาสิ่งที่เป็นนามธรรม มุ่งหมายที่จะเข้าถึง ความรู้สึกทางอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดภายในตัวตนของมนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคลเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้วิธีวิทยาของมนุษยศาสตร์ จึงมีลักษณะที่แตกต่างออกไปจากวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ การเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดไม่สามารถวัด หรือกำหนดเป็นกฎ (Law) ที่แน่นอนดังเช่นในสาขาวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎี (Theory) ในสาขาวิชาสังคมศาสตร์ต่างๆได้ "การตีความ" จึงเป็นวิธีวิทยาสำคัญของมนุษยศาสตร์ในการแกะรอยระบบสัญญะต่างๆ เพื่อเข้าถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน

มนุษยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวาง โดยมีศิลปวิทยาการด้านปรัชญา (Philosophy) ประวัติศาสตร์ (History) ภาษาและวรรณคดี (Languages and Literature) และศิลปะแขนงต่างๆ (Arts) เป็นแกนหลักของการศึกษา การศึกษามนุษย์ในสี่มิตินี้มีผลทำให้เราเข้าใจ มนุษย์ สังคม และโลกในความหมายที่แตกต่างไปจากการรับรู้ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์เพียงอย่างเดียว การศึกษามนุษย์ในลักษณะดังกล่าวนี้เองเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่การเข้าใจปรากฏการณ์ที่เป็นปัญหาได้ดีขึ้น อันเอื้อหนุนให้มนุษย์สามารถเห็นปัญหาได้ชัดเจนขึ้น พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปรากฏการณ์ "แน่นอก" ของมนุษยศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี

Pattani Humanities Research Group


Pattani Humanities Research Group คือการรวมตัวกันของคณาจารย์ในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่มีความรักในการสอนและการทำงานวิจัยสายมนุษยศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาทางด้านภาษา วรรณคดี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา ตลอดจนศิลปะแขนงต่างๆ 

เป้าประสงค์เบื้องต้นของการก่อตั้งกลุ่ม คือ การสร้างเครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ในสายมนุษยศาสตร์ ที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การสนับสนุนซึ่งกันและกันในการสร้างสรรค์งานด้านมนุษยศาสตร์ในรูปแบบต่างๆ การสร้างบรรยากาศการวิจัยและการเข้าใจโลกแบบมนุษยศาสตร์ให้เกิดขึ้นในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มอ. ปัตตานี 

อันที่จริงคณาจารย์ด้านมนุษยศาสตร์ของคณะฯได้ทำงานวิจัย สร้างสรรค์กิจกรรม และผลิตผลงานที่มีคุณค่ามาโดยตลอด แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานด้านมนุษยศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นถูกลดทอนคุณค่าจากเกณฑ์การประเมินที่มีตัวชี้วัด (KPI) ขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม หรือการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นจำนวน Paper ที่ตีพิมพ์ในวารสารที่อยู่ในฐาน ISI จำนวนเงินทุนวิจัยหลายแสนล้านบาทจากหน่วยงานภายนอก หรือนวตกรรมอันจะก่อให้เกิดรายได้ 

แม้ว่าเราจะอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เป็นหนึ่งในเก้าของมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติก็ตาม แต่ด้วยความที่ผู้กำหนดและกำกับงานวิจัยส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยฯ หรือแม้แต่ภายในคณะฯเองก็ตามมิได้มีความเข้าใจ (หรือพยายามจะเข้าใจ) ธรรมชาติของงานสายมนุษยศาสตร์ ทำให้เกณฑ์การประเมินนั้นมิใช่เพียงจะลดทอนคุณค่า แต่ยังบิดเบือนหัวใจสำคัญของงานสายมนุษยศาสตร์ไปด้วย 


ในวิกฤตการวิจัยที่ไม่เป็นมิตรกับสายมนุษยศาสตร์เช่นนี้ มีทางเลือกให้ไม่มากนักให้กับชาวมนุษยศาสตร์ บ้างก็อาจทดท้อใจล้มเลิกความพยายามในการทำวิจัย บ้างก็ต้องยอมพลิกพริ้วไปตามลมเพื่อความอยู่รอด บ้างก็ทำต่อไปอย่างมุ่งมั่นตามลำพัง แต่สำหรับกลุ่ม Pattani Humanities Research Group เลือกที่จะยืนหยัดในคุณค่าของการทำงานวิจัยในสายมนุษยศาสตร์ และให้ความสำคัญกับการรวมตัวกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งของคนทำงานสายมนุษยศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

Pamaree Surakiat.