ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์
วิกฤติที่ไร้เสียง และการหันกลับมาศึกษามนุษยศาสตร์เพื่อความเป็นมนุษย์
บัณฑิต ไกรวิจิตร
อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสต
ในระดับโลกถึงแม้ผู้นำจำนวนมากในโลกจะพยายามอย่างเร่งด่วนในการหาหนทางแก้ไขปัญหาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสิ้นหวัง ปัญหาใหญ่….ก็คือ ปัญหาสภาวะวิกฤตของการศึกษาระดับโลก ปัญหาใหญ่โตร้ายแรงที่จะติดตามมาอีกก็คือ “ปัญหาประชาธิปไตยในการปกครองตนเองได้ในอนาคต”
ข้างต้นเป็นคำอธิบายถึงวิกฤติประชาธิปไตย
จากนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงร่วมสมัยได้เสนอเกี่ยวกับระบบการศึกษาซึ่งน่าประทับใจมาก
เธอชื่อ มาธา ซี. นุสบอม (Martha
C. Nussbaum)
จำได้ว่าในวัยเด็กชั้นมัธยมได้อ่านหนังสือแปลไทยปรัชญาด้านการศึกษาชาวต่างประเทศ
เช่นท่าน รพินทรนาถ ฐากูร และอีกหลายท่าน เช่น เฮอมาน เฮสเส (Hermann Hesse) ตอลสตอย (Leo Tolstoy) และที่ตื่นเต้นมากสำหรับผมก็คือ
ดอสโตเยฟสกี้ (Fyodor
Dostoyevsky) และได้เสริมจินตนาการให้ลึกซึ้งมากขึ้นจาก
มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ (Michael
Ende) โดยเฉพาะ
จินตนาการไม่รู้จบและเรื่องโมโม่ แต่จะว่าไปแล้วการอ่านหนังสือในวัยเด็กกับการอ่านในวันนี้นั้นแตกต่างกันมากพอสมควร
การอ่านในวันนี้ชักนำผมไปอีกทิศทางหนึ่งของโลกจินตนาการแต่แน่นอนการอ่านในวันนี้มีพื้นฐานการอ่านจากวัยเด็ก
การอ่านในวัยเด็กสำคัญมากหรือ เราให้อะไรแก่วัยเด็กของเราบ้าง
เราให้อะไรแก่ลูกของเราและลูกศิษย์ ของเรา
ผมยังจำใบหน้าเพื่อนสมัยเรียน
โรงเรียนอำนวยศิลป์ ผู้แนะนำให้ผมอ่าน จิตร ภูมิศักดิ์ และเฮสเส ระบบการศึกษาไหนกันนะที่เพื่อนผมเมื่อ
30 กว่าปีมาแล้วชักจูงให้ผมหลงใหลการอ่าน
และยังนำนิยายเรื่องแม่ที่จิตรแปลไปทิ้งไว้ที่บ้านนอกให้แม่อ่านจนจบได้ ผมจำครูห้องสมุดโรงเรียน
อำนวยศิลป์ ผู้แนะนำให้ผมอ่าน “จ่าง แซ่ตั้ง” และนักเขียนดังๆผู้นิยมประชาชน
การเมือง ประชาธิปไตย ผมต่อติดกับความคิดทางการเมืองหลังเชื่ออยู่นานว่า “ประชาธิปไตยคือ
การเมืองซึ่งโดยประชาชนปกครองประชาชนปกเพื่อประชาชน” เป็นเรื่องหลอกเด็กและชาวบ้านเหมือนนิยาย
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเชื่อถือการโฆษณาโดยรัฐเช่นนี้ ว่า “ประเทศไทยควรไปให้ถึง”
ผมต้องขอโทษที่อารัมภบทซะมากมายถึงโรงเรียนของผมในอดีต
โรงเรียนอำนวยศิลป์เป็นโรงเรียนเอกชน และผมไม่สามารถเรียนรู้อะไรที่อยู่นอกกฎเกณฑ์
ดูเป็นหัวก้าวหน้า
วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองและความยุติธรรมได้เลยหากยังคงเรียนอยู่โรงเรียนรัฐฯ งานเขียนของอิสรา
อมันตรกุล คงไม่สามารถทำอะไรกับคนอย่างผมได้ ผมเข้าโรงเรียนในรุ่นที่ 64 นับว่าเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่มาก ถึงแม้ผมจะเชื่อว่า
“หนังสือมันเลือกคนอ่าน” แต่ผมก็เชื่อด้วยว่า “หนังสือไม่ได้วิ่งมาหาเราเอง”
หนังสือมันเลือกเราก็ต่อเมื่อเราเพาะปลูกมันในเรือนร่างของเรา
เรามีส่วนหนึ่งที่เป็นมัน เมื่อเราเดินในร้านหนังสือ ห้องสมุด ร้านออนไลน์
มันจึงเลือกเราให้หยิบมัน ซื้อ ทำสำเนา ยืม เพราะเรามีกันและกัน
เป็นส่วนหนึ่งที่เราอยากอ่าน
จากหนังสือ
“การศึกษา” ไม่ใช่เพื่อมุ่งสู่กำไร: ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์” (Not for Profit: Why Democracy
Needs the Humanities) ในวันที่ประชาธิปไตยในบ้านของเรามีปัญหาอย่างที่สุด
ที่มีปัญหาที่สุดนั้นไม่ใช่เพราะเรามีรัฐบาลที่มาจากการสมรู้ร่วมคิดกับเผด็จการทำการรัฐประหาร
เช่น พรรคประชาธิปปัตย์ เคยเป็น หรือเราได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง
แต่มาแต่เพียงในนาม ตามที่มีการวิพากษ์รัฐบาลคุณยิ่งรัก สิ่งที่ต้องคิดในวันนี้ ก็คือ
“วิกฤติสำคัญมากของเรา” ก็คือ เรา
มีเสรีภาพในการกดขี่คนอื่นจากความได้เปรียบไม่ว่าได้เปรียบจากฐานะทางเศรษฐกิจ
หรือการศึกษา
และเราสามารถอธิบายมันได้โดยอ้างอิงกลับไปที่เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
ที่แย่กว่านั้น บางคนอ้างเสรีภาพของตนเองเสนอให้ทหารทำการรัฐประหารโค่นล้มระบบการปกครองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาคิดว่าเขามีเสรีภาพที่จะทำลายระบบที่คุ้มครองทุกคนให้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย
กระทำการแทนประชาชนทั้งมวลของประเทศด้วยการชุมนุมจากคนจำนวนน้อยนิด
และไม่เห็นว่าระบบเผด็จการคือศัตรูสำหรับประชาชนและประชาธิปไตย เขาเห็นว่า
เผด็จการคือสิ่งที่เขาต้องการ เรียกร้อง เพื่อปรนเปรอ ความรู้สึกเห็นแก่ตัว
ความมักง่ายที่ต้องการชนะ ตัวแทนของประชาชน จนสามารถทำลายระบอบทั้งหมดได้
โดยอ้างเสรีภาพจากระบอบประชาธิปไตย สิ่งนี้คือวิกฤติ
และยังทำการฝังตัวอยู่ในความคิดเหมือนมีผีคอยดลบันดาลใจให้ทุกเรื่องเลื่อนเข้ามาสู่กรอบนี้
และเติบโตขึ้นทุกวัน วิกฤติประชาธิปไตยในวันนี้ ก็คือ
ครูและอาจารย์ไม่ได้เชื่อมั่นและสอนให้ลูกศิษย์เข้าใจประชาธิปไตย
แต่สอนให้พวกเขาสนองความต้องการของครูและอาจารย์
พวกเขาไม่เดือดร้อนกับประชาธิปไตยที่กำลังอับปรางลง จริงๆหรือ
สำหรับประเทศเสาหลักเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน
ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย นุสบอมชี้ชวนให้ชาวโลกตระหนักถึงวิกฤติของปัญหาที่สำคัญในระดับโลกถึงแม้ผู้นำจำนวนมากในโลกจะพยายามอย่างเร่งด่วนในการหาหนทางแก้ไขปัญหาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสิ้นหวัง
ปัญหาใหญ่ที่ถูกนำเสนอก็คือ ปัญหาสภาวะวิกฤตของการศึกษาระดับโลก
ปัญหาใหญ่โตร้ายแรงที่จะติดตามมาอีกก็คือ “ปัญหาประชาธิปไตยในการปกครองตนเองได้ในอนาคต”
การศึกษาได้ละทิ้งการสร้างสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาตนเองเพื่อความเป็นมนุษย์แต่แทนที่ด้วยความคิดเชิงจักรกล
ลดทอนความหลากหลายของคุณค่า
ขาดความเข้าใจต่อความไม่เหมือนและขาดความอดทนต่อความแตกต่าง ปลูกฝังค่านิยมของการได้ประโยชน์สูงสุด
โดยการศึกษาคือบันไดไปสู่ความฝันและจินตนาการที่จะเป็นคนที่แตกต่าง
สิ่งที่เกิดขึ้นมันขัดแย้งกันเองอย่างเหลือเชื่อ ผมคิดว่า ความต้องการแตกต่างกำชับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้เหมือนกัน คิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน ทำเหมือนกัน และที่ไม่ควรลืมคือ ทุกคนต่างก็ “กลัวเหมือนกัน” อีกด้วย ระบบการศึกษาวันนี้มันย้อนศร จากความเข้าใจและอดทนต่อความไม่เหมือนและการศึกษาเพื่อความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ห่อหุ้มจิตใจและร่างกายในความแตกต่างแต่มุ่งไปสู่จุดเดียวกันคือ “ความเป็นมนุษย์” ที่มีองค์รวมเดียวไม่ว่าจะศาสนาใด ชาติพันธุ์ รัฐ ชาติ ยากดีมีจน ไม่ว่าชนชั้นไหนต่างเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์มนุษย์เดียวกัน แต่การศึกษาปัจจุบันให้ความสำคัญแก่การได้โอกาสที่จะแตกต่างออกไป บนพื้นฐานที่ว่าหากแตกต่างแล้วจะได้ประโยชน์แก่ตัวเองและคนใกล้ชิดแคบๆ แต่ลืมมองไปว่า คนจำนวนมากต่างก็แข่งขันเพื่อการนี้ จึงได้สร้างเด็กรุ่นใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ มีบุคลิกภาพแข่งขันเพื่อความแตกต่างและบุคลิกของความสิ้นหวัง ดังนั้นจึงทำให้เกิดการยุบตัวของประเพณีเดิมของการศึกษาเดิม คือไม่ได้มีปรัชญาการศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์และหากต้องการได้รับความสำเร็จ การศึกษานั้นได้หันกลับมาทำลายความเป็นมนุษย์ เพื่อสิ่งใด? ก็เพื่อประโยชน์นั่นเอง และได้หันเหพลเมืองให้เข้าร่วมประชาธิปไตยเพื่อให้ตนเองบรรลุผลความต้องการในประโยชน์
สถานการณ์ในขณะนี้นั้นรัฐบาลทั่วโลกต่างก็ละเลยความสามารถของตนเองที่จะรักษาประชาธิปไตยให้อยู่รอดได้ มุ่งเน้นที่ผลกำไรแห่งชาติ โดยจัดระบบการศึกษาเพื่อตอบสนองต่อความกระหายในกำไรดังกล่าว หากยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป ชาติต่างๆ ในโลกจะผลิตเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถใช้เครื่องจักรมากว่าจะเป็นพลเมืองที่มีความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นสิ่งที่ติดตามมาก็คือปัญหาประชาธิปไตย จากปัญหาคุณภาพของพลเมืองนั่นเอง
พลเมืองที่สมบูรณ์แบบคืออะไร ก็คือพลเมืองที่มีความสามารถในการคิดได้ด้วยตนเอง วิจารณ์ระเบียบแบบแผน ประเพณีเดิม มีความเข้าใจในความหมายของความเจ็บปวดและความสำเร็จของบุคคลอื่น ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้นานาชาติกำลังอยู่ระหว่างปัญหาการสร้างความสมดุลของการพัฒนาระบบการศึกษาที่แขวนไว้กับความกระหายหิวการทำกำไรของชาติและความเป็นพลเมืองที่พร้อม ประชาธิปไตยของชาติจึงถูกแขวนไว้กับระบบดังกล่าว การออกจากปัญหานี้ได้นั้น พลเมืองของชาติจะต้องมีความพร้อมเสียก่อน ความพร้อมของพลเมืองคือตัวตัดสินนั่นเอง
อะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จนถึงรากถึงฐาน เช่นนี้ ได้ นุสบอมอธิบายว่าปัจจุบันรัฐบาลได้ตัดความรู้ทางด้านมนุษยศาสตร์ (the humanity) และศิลปะ ออกจากระบบการศึกษาชั้นต้นและชั้นที่สอง รวมถึงในระดับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย เพราะผู้บริหารและผู้วางนโยบายชาติมีความเข้าใจผิดว่าวิชาดังกล่าวคือสิ่งตกแต่งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้กับการแข่งขันในระดับตลาดโลก ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้เราสูญเสียหลักสูตรการศึกษาที่เรียนรู้ด้วยสำนึกและหัวใจไป สิ่งที่สูญเสียไปก็คือความคิดในเชิงมนุษย์นิยม (humanistic) ในสาขาของวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่ควรมีแต่ไม่มีก็คือ “การมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความคิดในเชิงวิพากษ์” นโยบายในประเทศทั้งหลายแหล่ต้องการกำไรในระยะสั้น จึงบ่มเพาะเยาวชนให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์โดยรัฐบาลสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เป็นพลเมืองที่มีความเชี่ยวชาญสูง และเป็นมนุษย์ผู้เหมาะสมสำหรับการค้ากำไร ยกตัวอย่างว่าหากวิเคราะห์แล้วตลาดแรงงานของสามจังหวัดภาคใต้ที่ต้องการก็คือกำลังแรงงานผู้เชี่ยวชาญในสาขาเสมียนสำนักงาน เรียนจบปริญญาตรีและวุฒิบัตรระดับสูง การวางนโยบายก็สนับสนุนไปในแนวทางนั้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ ขาดแรงงานภาคการเกษตรและประมง บุตรหลานเรียนจบไม่ต้องการพัฒนาชีวิตจากแหล่งให้ชีวิตเดิม แรงงานรับจ้างจากต่างประเทศจึงเข้ามาอย่างท่วมท้นและกระจัดกระจาย ดังคำที่นุสบอมกล่าว “วิกฤติการณ์ดังกล่าวอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ปัจจุบันเรายังไม่เผชิญหน้ากับมัน” (Nussbaum 2010: 2)
จากการศึกษาตัวอย่างการวางแนวทางการแก้ไขปัญหาการศึกษาของชาติต่างๆทำให้พบกับ ปัญหาที่น่านำมาสู่การถกเถียงกันอย่างจริงจัง เช่น
ตัวอย่างแรก
คือ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีรายงานปัญหาของการศึกษาระดับสูง
วิพากษ์การดำเนินนโยบายการศึกษาว่าสิทธิในการเข้าถึงนั้นไม่เท่าเทียมกัน
แต่เนื้อความของรายงานให้ความสนใจอยู่แต่การเพิ่มประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
และระบุอุปสรรคว่าขาดแคลนบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวิศวกร
รายงานไม่ได้ระบุความขาดแคลนบุคคลากรในวิชาชีพอื่น
บุคลากรที่ขาดแคลนในแรงงานทั้งหมดนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์และไม่สนใจพัฒนาบุคลากรพื้นฐานการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์
ไม่ต้องสงสัยเลย มนุษยศาสตร์ หรือศิลปะ สาขาเหล่านี้ถูกตัดออกไปจากสถานภาพขาดแคลน
ตัวอย่างที่สอง ปี 2004 นักวิชาการจากหลายประเทศได้ทำการถกเถียงกันเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาของ รพินทรนาถ ฐากูร (Rbindranath Tagore) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) สาขาวรรณกรรม เมื่อปี 1913 และเขายังเป็นผู้คิดค้นระบบการศึกษาอีกด้วย รพินทรนาถคือผู้ทดลองระบบการศึกษา และสร้างอิทธิพลขยายไปในวงกว้าง เช่น ในยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา นักการศึกษาเหล่านี้สนใจการเพิ่มศักยภาพให้แก่นักศึกษา โดยการฝึกปฏิบัติที่เรียกว่า การถกเถียงแบบโซเครติส “Socratic Argument” นอกจากนี้ยังให้ทุกหลักสูตรเพิ่มการแสดงดนตรี วิจิตรศิลป์ การแสดงละคร และเต้นรำอยู่ในหลักสูตรด้วย แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ระบบการศึกษานี้กลับไม่ค่อยมีในประเทศอินเดียแล้ว และยังถูกดูแคลนวิธีการของ ฐากูร อีกด้วย
ตัวอย่างที่สาม
ปี 2005 ครูโรงเรียนในชิคาโกได้ยกเลิกการเรียนในห้องเรียน สถานที่แห่งนี้ จอห์น
ดิวอี้ (John
Dewey) ได้เคยเป็นผู้ชักชวนบุกเบิกการทดลองปฏิรูปการศึกษาเพื่อประชาธิปไตย
และ บารัค โอบาห์มาร์ (Barack
Obama) ได้เคยส่งลูกสาวของตัวเองมาเรียนอยู่ที่นี่ด้วย
ครูต่างๆ
ได้รวบรวมข้อถกเถียงเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อประชาธิปไตยของพลเมืองตามแนวทางของ
นักปรัชญาดิวอี้ห์ ข้อสรุปก็คือ มีความใกล้เคียงกับวิธีการของ รพินทรนาถที่อินเดีย
ครูซึ่งมีความภาคภูมิใจกับการกระตุ้นเด็กให้ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และจินตนาการ
กลับพบกับความสับสน เกี่ยวกับความกดดันของพ่อแม่เด็กที่ไม่จริงใจต่อการศึกษาของลูก
ทั้งๆที่พยายามส่งลูกเข้าโรงเรียนระดับนำ แต่ต้องการแค่ให้เด็กผ่านการทดสอบ คล้ายๆ
กับการสร้างรายได้การเงิน คือความสำเร็จ
และพ่อแม่เด็กพยายามที่จะเปลี่ยนแนวทางของโรงเรียน จึงเหมือนกับยาพิษของความสำเร็จ
(Nussbaum 2010: 4)
นุสบอมอธิบายว่า
“ดูเหมือนเรากำลังจะหลงลืมวิญญาณ
ของเราไป” (Nussbaum 2010: 6)
เขาเสนอให้เปิดจิตใจและสร้างความเชื่อมโยงจิตใจของตนเองกับบุคคลอื่นๆ
ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้อย่างมากมาย
“การเปิดใจดังกล่าวอาจจะเพิ่มความสามารถให้มนุษย์เรามีความสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก” ซึ่งเหมาะสมกว่าความสัมพันธ์ที่มาจากการควบคุมจัดการการศึกษา (Nussbaum
2010: 6)
ดังนั้น
ความสัมพันธ์แบบเสมอภาคและประชาธิปไตย อาจจะต้องล้มเหลว
หากเราไม่สามารถเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น
คือการเรียนรู้ที่จะจินตนาการถึงความสามารถ สติปัญญาภายในของคนอื่น
ทั้งนี้ความคิดและอารมณ์ เพราะความเสมอภาคและประชาธิปไตยถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากความเคารพและความเป็นห่วง
และสิ่งนี้มาจากความสามารถที่จะเข้าใจประชาชนคนอื่นว่าเป็นมนุษย์ไม่ใช่วัตถุ (Nussbaum 2010:
6)
แรงจูงใจที่ต้องการเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ก็คือมาจากความต้องการสร้างกำไร ซึ่งยากมากที่จะทำให้ชาติเข้มแข็ง เราไม่ได้คัดค้านวิทยาศาสตร์ที่ดี
และการศึกษาเทคโนโลยี แต่สิ่งที่เราสนใจก็คือ ความสามารถอื่นๆ
เช่นความเข้มแข็งของประชาธิปไตย ความเสมอภาคที่อยู่ภายใน
และการสร้างสรรค์ของโลกที่ตกทอดมาในทางวัฒนธรรม
ความสามารถที่จะมีการพบพานสังสรรค์กับมนุษยชาติ และสังสรรค์ในงานศิลปะ ความสามารถที่จะคิดอย่างวิพากษ์
ความสามารถที่จะทำให้ความภักดีต่อท้องถิ่นของตนล่องลอยไปพานพบและเข้าถึงปัญหาในโลกกว้างในฐานะที่ตนเองก็เป็น
“พลเมืองโลก” (citizen
of the world) และในท้ายที่สุดคือความสามารถที่จะจินตนาการเห็นอกเห็นใจบุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าตนเอง (Nussbaum 2010:
7)
ข้อเสนอของนุสบอม
นั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างในสิ่งที่เรียกว่า “จิตวิญญาณของมนุษยศาสตร์”
(the spirit of
the humanities) คือ การค้นหาเพื่อที่จะสามารถวิพากษ์ทางความคิด
และกล้าที่จะจินตนาการ เพื่อความเข้าใจ และเป็นผู้เอาใจใส่ในประสบการณ์ของมนุษย์ที่ล้วนมีความแตกต่างกัน
และเข้าใจถึงความซับซ้อนของโลกที่เราอยู่อาศัย
พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์บางส่วนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ให้ความสนใจต่อการศึกษาว่าจะต้องมีความสามารถวิพากษ์วิจารณ์
วิเคราะห์เชิงตรรกะและการจินตนาการ
วิทยาศาสตร์จะต้องแสวงหาเพื่อนจากมนุษยศาสตร์มากกว่าที่จะสร้างศัตรู
คือการเป็นเพื่อนร่วมงานในการศึกษาบนหัวข้อเดียวกัน
ซึ่งอาจจะได้รับความสำเร็จบนงานของมนุษยศาสตร์ก็ได้
สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบก็คือความสำเร็จของอินเดีย
ซึ่งมีประเพณีการศึกษามนุษยศาสตร์และศิลปะเป็นแบบอย่างของทฤษฎีและการปฏิบัติที่พัฒนาจากรพินทรนาถ
ส่วนสหรัฐอเมริการะบบการศึกษาที่ทดลองอยู่ก็คือ การพิจารณาตนเองอย่างละเอียดลออแบบโซเครติส
(Socratic
self-examination) ซึ่งทำอยู่ในโรงเรียนเอกชน
แต่ทั้งนี้ก็คาดหวังด้วยว่าการจัดระบบการศึกษาควรขยายเข้าสู่ครอบครัวของเด็กด้วย
เนื่องจากสิ่งแวดล้อมของเด็กมีทั้งวัฒนธรรมคล้ายและวัฒนธรรมต่าง
เมื่อสัมพันธ์กับโลกรายรอบตัว การศึกษาถึงมาตรฐานทางสังคม สถาบันทางการเมือง
โรงเรียน และครอบครัว ก็มีความสำคัญและมีส่วนในการสร้างความสำเร็จนี้ให้เกิดขึ้น
นุสบอมชี้ชวนให้ผู้อ่านเห็นด้วยกับเขาว่า
“หากเราจะตระหนักถึงว่าจะพัฒนาพลเมืองของเรา เราก็จะต้องให้ความสนใจโดยไม่เบี่ยงเบนไปจากจุดสนใจนี้”
(Nussbaum 2010: 9)
การศึกษาของรัฐบาลหลายประเทศไม่ใช่การศึกษาเพื่อพลเมืองแต่เป็นการศึกษาเพื่อเตรียมประชาชนเข้าสู่การทำงาน
อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าทั้งหลายมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ชีวิตมนุษย์ที่มีเหตุผลแตกต่างกันในหมู่พลเมือง
เช่นมีศาสนาที่แตกต่าง มีความคิดเกี่ยวกับโลก วิถีชีวิตที่แตกต่าง
ซึ่งพลเมืองมีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่จะต้องคิดก็คือ
จะให้การศึกษามนุษยชาติที่มีหลายประเภทโดยมีการสนับสนุนเป้าหมายเฉพาะแต่ละบุคคลได้นั้นทำอย่างไร
เราอาจจะต้องเห็นด้วยกับชาติต่างๆ ที่อยู่คนละฟากโลก
ยินดีกับพวกเขาที่มีประชาธิปไตยและต้องการเติบโตขึ้นมามีส่วนร่วมกับรัฐบาลที่ประชาชนใช้สิทธิ์เลือกเขาเข้ามาทำงาน
สังคมประชาธิปไตยในทุกที่ต่างก็มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย เช่น
มีความแตกต่างทางศาสนา ชาติพันธุ์ ความมั่งคั่ง และชนชั้น ความแตกต่างทางกายภาพ
ความสัมพันธ์ทางเพศ และเพศสภาพ
แต่พวกเขาก็คือผู้ลงคะแนนเสียงเพื่อสร้างทางเลือกต่อวิถีชีวิตท่ามกลางประชาชนที่มีความแตกต่างจากตัวเองเช่นกัน
“ทางหนึ่งที่ดีก็คือการเตรียมเด็กให้ได้รับการศึกษาที่ทำให้เกิดคำถามว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร
วิธีการนี้จะสามารถทำให้ชีวิตในรูปแบบองค์กรทางสังคม
และการเมืองมีโฉมหน้าลักษณะเฉพาะขึ้นมาได้” (Nussbaum 2010:
9-10)
สรุปว่าหากไม่มีการสนับสนุนการศึกษาที่เหมาะสม
ก็จะไม่มีประชาธิปไตยที่มั่นคงได้ จึงต้องบ่มเพาะความสามารถในการคิดอย่างวิพากษ์และสะท้อนถึงปัญหาที่ยากเย็น
ต่อภารกิจอันที่จะเก็บรักษาชีวิตประชาธิปไตยให้อยู่รอดได้
และขยายวงของประชาธิปไตยออกไปได้ ความสามารถในการคิดได้ดีเกี่ยวกับวัฒนธรรมในวงกว้าง
กลุ่มและชาติในบริบทของเศรษฐกิจโลก และประวัติศาสตร์ของชาติที่หลากหลาย
และมีปฏิสัมพันธ์กลุ่ม
ซึ่งเป็นความยากของการควบคุมการวางระเบียบที่ทำให้ประชาธิปไตยทำงานได้ในการตอบสนองกับปัญหาปัจจุบัน
ซึ่งสมาชิกในโลกที่พึ่งพาอาศัยกันและกัน
และมีความสามารถที่จะจินตนาการประสบการณ์อื่นๆ
ความสามารถที่จะรองรับมนุษย์ทั้งหมดและสังคมมีความต้องการที่จะยกระดับปรับปรุง
หากเรามีความหวังที่จะรักษาสถานะที่ตกทอดเป็นมรดกข้ามการแบ่งชั้นแตกต่างไม่เท่าเทียมกันเป็นจำนวนมากเพื่อให้สังคมสมัยใหม่ดำรงอยู่ได้
ส่วนผลประโยชน์ของชาติในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่
ก็คือต้องเรียกร้องต่อการแสวงหาทางเศรษฐกิจแบบเข้มข้น
และเรียกร้องต่อวัฒนธรรมสิ่งตกแต่งทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นเราจะต้องไม่เลือกระหว่างการศึกษาเพื่อกำไร หรือการศึกษาเพื่อพลเมืองที่ดี
สิ่งที่ควรทำก็คือการศึกษาเพื่อความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและจะต้องใส่ใจกับความมั่นคงของประชาธิปไตย
“ความมั่นคงทางเศรษฐกิจหมายถึงมีมนุษย์เป็นที่สิ้นสุดจุดจบ
ไม่ใช่อยู่ที่ตัวเศรษฐกิจเอง” (Nussbaum
2010: 10)
สุดท้าย
ณ จุดนี้ สิ่งพึงระวังก็คือ “ไม่มีระบบการศึกษาใดจะทำงานได้ดี หากผลกำไรส่งผลดีต่อเฉพาะคนร่ำรวย
ซึ่งเป็นผู้นำ” การกระจายโอกาสการศึกษาและการได้รับคุณภาพการศึกษา
เป็นประเด็นที่เร่งด่วนมากสำหรับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ประเทศประเทศสหรัฐอเมริกาถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใด
แต่ก็มีเรื่องที่น่าอายที่การกระจายตัวของระบบการศึกษาและคุณภาพการศึกษาไม่มีความเท่าเทียมกัน
แต่ผมไม่รู้จริงๆว่า การเร่งกระชับให้เยาวชนได้รับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน
บรรณานุกรม
Nussbaum,
Martha C'. Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanties. Princeton and
Oxford: Princeton University Prees, 2010.
วิกฤติที่ไร้เสียง และการหันกลับมาศึกษามนุษยศาสตร์เพื่อความเป็นมนุษย์
เผยแพร่ที่ http://www.pataniforum.com/news_detail.php?news_id=16
วันที่ 31 Dec 2011