วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์

ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์

วิกฤติที่ไร้เสียง และการหันกลับมาศึกษามนุษยศาสตร์เพื่อความเป็นมนุษย์

บัณฑิต ไกรวิจิตร
อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสต


ในระดับโลกถึงแม้ผู้นำจำนวนมากในโลกจะพยายามอย่างเร่งด่วนในการหาหนทางแก้ไขปัญหาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสิ้นหวัง ปัญหาใหญ่….ก็คือ ปัญหาสภาวะวิกฤตของการศึกษาระดับโลก ปัญหาใหญ่โตร้ายแรงที่จะติดตามมาอีกก็คือ “ปัญหาประชาธิปไตยในการปกครองตนเองได้ในอนาคต”


ข้างต้นเป็นคำอธิบายถึงวิกฤติประชาธิปไตย จากนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงร่วมสมัยได้เสนอเกี่ยวกับระบบการศึกษาซึ่งน่าประทับใจมาก เธอชื่อ มาธา ซี. นุสบอม (Martha C. Nussbaum)




จำได้ว่าในวัยเด็กชั้นมัธยมได้อ่านหนังสือแปลไทยปรัชญาด้านการศึกษาชาวต่างประเทศ เช่นท่าน รพินทรนาถ ฐากูร และอีกหลายท่าน เช่น เฮอมาน เฮสเส (Hermann Hesse) ตอลสตอย (Leo Tolstoy) และที่ตื่นเต้นมากสำหรับผมก็คือ ดอสโตเยฟสกี้ (Fyodor Dostoyevsky) และได้เสริมจินตนาการให้ลึกซึ้งมากขึ้นจาก มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ (Michael Ende) โดยเฉพาะ จินตนาการไม่รู้จบและเรื่องโมโม่ แต่จะว่าไปแล้วการอ่านหนังสือในวัยเด็กกับการอ่านในวันนี้นั้นแตกต่างกันมากพอสมควร การอ่านในวันนี้ชักนำผมไปอีกทิศทางหนึ่งของโลกจินตนาการแต่แน่นอนการอ่านในวันนี้มีพื้นฐานการอ่านจากวัยเด็ก การอ่านในวัยเด็กสำคัญมากหรือ เราให้อะไรแก่วัยเด็กของเราบ้าง เราให้อะไรแก่ลูกของเราและลูกศิษย์ ของเรา

ผมยังจำใบหน้าเพื่อนสมัยเรียน โรงเรียนอำนวยศิลป์ ผู้แนะนำให้ผมอ่าน จิตร ภูมิศักดิ์ และเฮสเส ระบบการศึกษาไหนกันนะที่เพื่อนผมเมื่อ 30 กว่าปีมาแล้วชักจูงให้ผมหลงใหลการอ่าน และยังนำนิยายเรื่องแม่ที่จิตรแปลไปทิ้งไว้ที่บ้านนอกให้แม่อ่านจนจบได้ ผมจำครูห้องสมุดโรงเรียน อำนวยศิลป์ ผู้แนะนำให้ผมอ่าน “จ่าง แซ่ตั้ง” และนักเขียนดังๆผู้นิยมประชาชน การเมือง ประชาธิปไตย ผมต่อติดกับความคิดทางการเมืองหลังเชื่ออยู่นานว่า “ประชาธิปไตยคือ การเมืองซึ่งโดยประชาชนปกครองประชาชนปกเพื่อประชาชน” เป็นเรื่องหลอกเด็กและชาวบ้านเหมือนนิยาย แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเชื่อถือการโฆษณาโดยรัฐเช่นนี้ ว่า “ประเทศไทยควรไปให้ถึง”

ผมต้องขอโทษที่อารัมภบทซะมากมายถึงโรงเรียนของผมในอดีต โรงเรียนอำนวยศิลป์เป็นโรงเรียนเอกชน และผมไม่สามารถเรียนรู้อะไรที่อยู่นอกกฎเกณฑ์ ดูเป็นหัวก้าวหน้า วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองและความยุติธรรมได้เลยหากยังคงเรียนอยู่โรงเรียนรัฐฯ งานเขียนของอิสรา อมันตรกุล คงไม่สามารถทำอะไรกับคนอย่างผมได้ ผมเข้าโรงเรียนในรุ่นที่ 64 นับว่าเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่มาก ถึงแม้ผมจะเชื่อว่า “หนังสือมันเลือกคนอ่าน” แต่ผมก็เชื่อด้วยว่า “หนังสือไม่ได้วิ่งมาหาเราเอง” หนังสือมันเลือกเราก็ต่อเมื่อเราเพาะปลูกมันในเรือนร่างของเรา เรามีส่วนหนึ่งที่เป็นมัน เมื่อเราเดินในร้านหนังสือ ห้องสมุด ร้านออนไลน์ มันจึงเลือกเราให้หยิบมัน ซื้อ ทำสำเนา ยืม เพราะเรามีกันและกัน เป็นส่วนหนึ่งที่เราอยากอ่าน





จากหนังสือ “การศึกษา” ไม่ใช่เพื่อมุ่งสู่กำไร: ทำไมประชาธิปไตยต้องการมนุษยศาสตร์” (Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities) ในวันที่ประชาธิปไตยในบ้านของเรามีปัญหาอย่างที่สุด ที่มีปัญหาที่สุดนั้นไม่ใช่เพราะเรามีรัฐบาลที่มาจากการสมรู้ร่วมคิดกับเผด็จการทำการรัฐประหาร เช่น พรรคประชาธิปปัตย์ เคยเป็น หรือเราได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่มาแต่เพียงในนาม ตามที่มีการวิพากษ์รัฐบาลคุณยิ่งรัก สิ่งที่ต้องคิดในวันนี้ ก็คือ “วิกฤติสำคัญมากของเรา” ก็คือ เรา มีเสรีภาพในการกดขี่คนอื่นจากความได้เปรียบไม่ว่าได้เปรียบจากฐานะทางเศรษฐกิจ หรือการศึกษา และเราสามารถอธิบายมันได้โดยอ้างอิงกลับไปที่เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ที่แย่กว่านั้น บางคนอ้างเสรีภาพของตนเองเสนอให้ทหารทำการรัฐประหารโค่นล้มระบบการปกครองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาคิดว่าเขามีเสรีภาพที่จะทำลายระบบที่คุ้มครองทุกคนให้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย กระทำการแทนประชาชนทั้งมวลของประเทศด้วยการชุมนุมจากคนจำนวนน้อยนิด และไม่เห็นว่าระบบเผด็จการคือศัตรูสำหรับประชาชนและประชาธิปไตย เขาเห็นว่า เผด็จการคือสิ่งที่เขาต้องการ เรียกร้อง เพื่อปรนเปรอ ความรู้สึกเห็นแก่ตัว ความมักง่ายที่ต้องการชนะ ตัวแทนของประชาชน จนสามารถทำลายระบอบทั้งหมดได้ โดยอ้างเสรีภาพจากระบอบประชาธิปไตย สิ่งนี้คือวิกฤติ และยังทำการฝังตัวอยู่ในความคิดเหมือนมีผีคอยดลบันดาลใจให้ทุกเรื่องเลื่อนเข้ามาสู่กรอบนี้ และเติบโตขึ้นทุกวัน วิกฤติประชาธิปไตยในวันนี้ ก็คือ ครูและอาจารย์ไม่ได้เชื่อมั่นและสอนให้ลูกศิษย์เข้าใจประชาธิปไตย แต่สอนให้พวกเขาสนองความต้องการของครูและอาจารย์ พวกเขาไม่เดือดร้อนกับประชาธิปไตยที่กำลังอับปรางลง จริงๆหรือ


สำหรับประเทศเสาหลักเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย นุสบอมชี้ชวนให้ชาวโลกตระหนักถึงวิกฤติของปัญหาที่สำคัญในระดับโลกถึงแม้ผู้นำจำนวนมากในโลกจะพยายามอย่างเร่งด่วนในการหาหนทางแก้ไขปัญหาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสิ้นหวัง ปัญหาใหญ่ที่ถูกนำเสนอก็คือ ปัญหาสภาวะวิกฤตของการศึกษาระดับโลก ปัญหาใหญ่โตร้ายแรงที่จะติดตามมาอีกก็คือ “ปัญหาประชาธิปไตยในการปกครองตนเองได้ในอนาคต” การศึกษาได้ละทิ้งการสร้างสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาตนเองเพื่อความเป็นมนุษย์แต่แทนที่ด้วยความคิดเชิงจักรกล ลดทอนความหลากหลายของคุณค่า ขาดความเข้าใจต่อความไม่เหมือนและขาดความอดทนต่อความแตกต่าง ปลูกฝังค่านิยมของการได้ประโยชน์สูงสุด โดยการศึกษาคือบันไดไปสู่ความฝันและจินตนาการที่จะเป็นคนที่แตกต่าง


สิ่งที่เกิดขึ้นมันขัดแย้งกันเองอย่างเหลือเชื่อ ผมคิดว่า ความต้องการแตกต่างกำชับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้เหมือนกัน คิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน ทำเหมือนกัน และที่ไม่ควรลืมคือ ทุกคนต่างก็ “กลัวเหมือนกัน” อีกด้วย ระบบการศึกษาวันนี้มันย้อนศร จากความเข้าใจและอดทนต่อความไม่เหมือนและการศึกษาเพื่อความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ห่อหุ้มจิตใจและร่างกายในความแตกต่างแต่มุ่งไปสู่จุดเดียวกันคือ “ความเป็นมนุษย์” ที่มีองค์รวมเดียวไม่ว่าจะศาสนาใด ชาติพันธุ์ รัฐ ชาติ ยากดีมีจน ไม่ว่าชนชั้นไหนต่างเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์มนุษย์เดียวกัน แต่การศึกษาปัจจุบันให้ความสำคัญแก่การได้โอกาสที่จะแตกต่างออกไป บนพื้นฐานที่ว่าหากแตกต่างแล้วจะได้ประโยชน์แก่ตัวเองและคนใกล้ชิดแคบๆ แต่ลืมมองไปว่า คนจำนวนมากต่างก็แข่งขันเพื่อการนี้ จึงได้สร้างเด็กรุ่นใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ มีบุคลิกภาพแข่งขันเพื่อความแตกต่างและบุคลิกของความสิ้นหวัง ดังนั้นจึงทำให้เกิดการยุบตัวของประเพณีเดิมของการศึกษาเดิม คือไม่ได้มีปรัชญาการศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์และหากต้องการได้รับความสำเร็จ การศึกษานั้นได้หันกลับมาทำลายความเป็นมนุษย์ เพื่อสิ่งใด? ก็เพื่อประโยชน์นั่นเอง และได้หันเหพลเมืองให้เข้าร่วมประชาธิปไตยเพื่อให้ตนเองบรรลุผลความต้องการในประโยชน์


สถานการณ์ในขณะนี้นั้นรัฐบาลทั่วโลกต่างก็ละเลยความสามารถของตนเองที่จะรักษาประชาธิปไตยให้อยู่รอดได้ มุ่งเน้นที่ผลกำไรแห่งชาติ โดยจัดระบบการศึกษาเพื่อตอบสนองต่อความกระหายในกำไรดังกล่าว หากยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป ชาติต่างๆ ในโลกจะผลิตเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถใช้เครื่องจักรมากว่าจะเป็นพลเมืองที่มีความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นสิ่งที่ติดตามมาก็คือปัญหาประชาธิปไตย จากปัญหาคุณภาพของพลเมืองนั่นเอง


พลเมืองที่สมบูรณ์แบบคืออะไร ก็คือพลเมืองที่มีความสามารถในการคิดได้ด้วยตนเอง วิจารณ์ระเบียบแบบแผน ประเพณีเดิม มีความเข้าใจในความหมายของความเจ็บปวดและความสำเร็จของบุคคลอื่น ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้นานาชาติกำลังอยู่ระหว่างปัญหาการสร้างความสมดุลของการพัฒนาระบบการศึกษาที่แขวนไว้กับความกระหายหิวการทำกำไรของชาติและความเป็นพลเมืองที่พร้อม ประชาธิปไตยของชาติจึงถูกแขวนไว้กับระบบดังกล่าว การออกจากปัญหานี้ได้นั้น พลเมืองของชาติจะต้องมีความพร้อมเสียก่อน ความพร้อมของพลเมืองคือตัวตัดสินนั่นเอง


อะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จนถึงรากถึงฐาน เช่นนี้ ได้ นุสบอมอธิบายว่าปัจจุบันรัฐบาลได้ตัดความรู้ทางด้านมนุษยศาสตร์ (the humanity) และศิลปะ ออกจากระบบการศึกษาชั้นต้นและชั้นที่สอง รวมถึงในระดับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย เพราะผู้บริหารและผู้วางนโยบายชาติมีความเข้าใจผิดว่าวิชาดังกล่าวคือสิ่งตกแต่งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้กับการแข่งขันในระดับตลาดโลก ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้เราสูญเสียหลักสูตรการศึกษาที่เรียนรู้ด้วยสำนึกและหัวใจไป สิ่งที่สูญเสียไปก็คือความคิดในเชิงมนุษย์นิยม (humanistic) ในสาขาของวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่ควรมีแต่ไม่มีก็คือ “การมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความคิดในเชิงวิพากษ์” นโยบายในประเทศทั้งหลายแหล่ต้องการกำไรในระยะสั้น จึงบ่มเพาะเยาวชนให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์โดยรัฐบาลสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เป็นพลเมืองที่มีความเชี่ยวชาญสูง และเป็นมนุษย์ผู้เหมาะสมสำหรับการค้ากำไร ยกตัวอย่างว่าหากวิเคราะห์แล้วตลาดแรงงานของสามจังหวัดภาคใต้ที่ต้องการก็คือกำลังแรงงานผู้เชี่ยวชาญในสาขาเสมียนสำนักงาน เรียนจบปริญญาตรีและวุฒิบัตรระดับสูง การวางนโยบายก็สนับสนุนไปในแนวทางนั้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ ขาดแรงงานภาคการเกษตรและประมง บุตรหลานเรียนจบไม่ต้องการพัฒนาชีวิตจากแหล่งให้ชีวิตเดิม แรงงานรับจ้างจากต่างประเทศจึงเข้ามาอย่างท่วมท้นและกระจัดกระจาย ดังคำที่นุสบอมกล่าว “วิกฤติการณ์ดังกล่าวอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ปัจจุบันเรายังไม่เผชิญหน้ากับมัน” (Nussbaum 2010: 2)


จากการศึกษาตัวอย่างการวางแนวทางการแก้ไขปัญหาการศึกษาของชาติต่างๆทำให้พบกับ ปัญหาที่น่านำมาสู่การถกเถียงกันอย่างจริงจัง เช่น

ตัวอย่างแรก คือ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีรายงานปัญหาของการศึกษาระดับสูง วิพากษ์การดำเนินนโยบายการศึกษาว่าสิทธิในการเข้าถึงนั้นไม่เท่าเทียมกัน แต่เนื้อความของรายงานให้ความสนใจอยู่แต่การเพิ่มประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และระบุอุปสรรคว่าขาดแคลนบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวิศวกร รายงานไม่ได้ระบุความขาดแคลนบุคคลากรในวิชาชีพอื่น บุคลากรที่ขาดแคลนในแรงงานทั้งหมดนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์และไม่สนใจพัฒนาบุคลากรพื้นฐานการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องสงสัยเลย มนุษยศาสตร์ หรือศิลปะ สาขาเหล่านี้ถูกตัดออกไปจากสถานภาพขาดแคลน





ตัวอย่างที่สอง ปี 2004 นักวิชาการจากหลายประเทศได้ทำการถกเถียงกันเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาของ รพินทรนาถ ฐากูร (Rbindranath Tagore) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) สาขาวรรณกรรม เมื่อปี 1913 และเขายังเป็นผู้คิดค้นระบบการศึกษาอีกด้วย รพินทรนาถคือผู้ทดลองระบบการศึกษา และสร้างอิทธิพลขยายไปในวงกว้าง เช่น ในยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา นักการศึกษาเหล่านี้สนใจการเพิ่มศักยภาพให้แก่นักศึกษา โดยการฝึกปฏิบัติที่เรียกว่า การถกเถียงแบบโซเครติส “Socratic Argument” นอกจากนี้ยังให้ทุกหลักสูตรเพิ่มการแสดงดนตรี วิจิตรศิลป์ การแสดงละคร และเต้นรำอยู่ในหลักสูตรด้วย แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ระบบการศึกษานี้กลับไม่ค่อยมีในประเทศอินเดียแล้ว และยังถูกดูแคลนวิธีการของ ฐากูร อีกด้วย

ตัวอย่างที่สาม ปี 2005 ครูโรงเรียนในชิคาโกได้ยกเลิกการเรียนในห้องเรียน สถานที่แห่งนี้ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้เคยเป็นผู้ชักชวนบุกเบิกการทดลองปฏิรูปการศึกษาเพื่อประชาธิปไตย และ บารัค โอบาห์มาร์ (Barack Obama) ได้เคยส่งลูกสาวของตัวเองมาเรียนอยู่ที่นี่ด้วย ครูต่างๆ ได้รวบรวมข้อถกเถียงเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อประชาธิปไตยของพลเมืองตามแนวทางของ นักปรัชญาดิวอี้ห์ ข้อสรุปก็คือ มีความใกล้เคียงกับวิธีการของ รพินทรนาถที่อินเดีย ครูซึ่งมีความภาคภูมิใจกับการกระตุ้นเด็กให้ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และจินตนาการ กลับพบกับความสับสน เกี่ยวกับความกดดันของพ่อแม่เด็กที่ไม่จริงใจต่อการศึกษาของลูก ทั้งๆที่พยายามส่งลูกเข้าโรงเรียนระดับนำ แต่ต้องการแค่ให้เด็กผ่านการทดสอบ คล้ายๆ กับการสร้างรายได้การเงิน คือความสำเร็จ และพ่อแม่เด็กพยายามที่จะเปลี่ยนแนวทางของโรงเรียน จึงเหมือนกับยาพิษของความสำเร็จ (Nussbaum 2010: 4)

นุสบอมอธิบายว่า “ดูเหมือนเรากำลังจะหลงลืมวิญญาณ ของเราไป” (Nussbaum 2010: 6) เขาเสนอให้เปิดจิตใจและสร้างความเชื่อมโยงจิตใจของตนเองกับบุคคลอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้อย่างมากมาย “การเปิดใจดังกล่าวอาจจะเพิ่มความสามารถให้มนุษย์เรามีความสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก” ซึ่งเหมาะสมกว่าความสัมพันธ์ที่มาจากการควบคุมจัดการการศึกษา (Nussbaum 2010: 6)

ดังนั้น ความสัมพันธ์แบบเสมอภาคและประชาธิปไตย อาจจะต้องล้มเหลว หากเราไม่สามารถเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น คือการเรียนรู้ที่จะจินตนาการถึงความสามารถ สติปัญญาภายในของคนอื่น ทั้งนี้ความคิดและอารมณ์ เพราะความเสมอภาคและประชาธิปไตยถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากความเคารพและความเป็นห่วง และสิ่งนี้มาจากความสามารถที่จะเข้าใจประชาชนคนอื่นว่าเป็นมนุษย์ไม่ใช่วัตถุ (Nussbaum 2010: 6)

แรงจูงใจที่ต้องการเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็คือมาจากความต้องการสร้างกำไร ซึ่งยากมากที่จะทำให้ชาติเข้มแข็ง เราไม่ได้คัดค้านวิทยาศาสตร์ที่ดี และการศึกษาเทคโนโลยี แต่สิ่งที่เราสนใจก็คือ ความสามารถอื่นๆ เช่นความเข้มแข็งของประชาธิปไตย ความเสมอภาคที่อยู่ภายใน และการสร้างสรรค์ของโลกที่ตกทอดมาในทางวัฒนธรรม ความสามารถที่จะมีการพบพานสังสรรค์กับมนุษยชาติ และสังสรรค์ในงานศิลปะ ความสามารถที่จะคิดอย่างวิพากษ์ ความสามารถที่จะทำให้ความภักดีต่อท้องถิ่นของตนล่องลอยไปพานพบและเข้าถึงปัญหาในโลกกว้างในฐานะที่ตนเองก็เป็น “พลเมืองโลก” (citizen of the world) และในท้ายที่สุดคือความสามารถที่จะจินตนาการเห็นอกเห็นใจบุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าตนเอง (Nussbaum 2010: 7)

ข้อเสนอของนุสบอม นั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างในสิ่งที่เรียกว่า “จิตวิญญาณของมนุษยศาสตร์ (the spirit of the humanities) คือ การค้นหาเพื่อที่จะสามารถวิพากษ์ทางความคิด และกล้าที่จะจินตนาการ เพื่อความเข้าใจ และเป็นผู้เอาใจใส่ในประสบการณ์ของมนุษย์ที่ล้วนมีความแตกต่างกัน และเข้าใจถึงความซับซ้อนของโลกที่เราอยู่อาศัย พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์บางส่วนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ให้ความสนใจต่อการศึกษาว่าจะต้องมีความสามารถวิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์เชิงตรรกะและการจินตนาการ วิทยาศาสตร์จะต้องแสวงหาเพื่อนจากมนุษยศาสตร์มากกว่าที่จะสร้างศัตรู คือการเป็นเพื่อนร่วมงานในการศึกษาบนหัวข้อเดียวกัน ซึ่งอาจจะได้รับความสำเร็จบนงานของมนุษยศาสตร์ก็ได้ สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบก็คือความสำเร็จของอินเดีย ซึ่งมีประเพณีการศึกษามนุษยศาสตร์และศิลปะเป็นแบบอย่างของทฤษฎีและการปฏิบัติที่พัฒนาจากรพินทรนาถ ส่วนสหรัฐอเมริการะบบการศึกษาที่ทดลองอยู่ก็คือ การพิจารณาตนเองอย่างละเอียดลออแบบโซเครติส (Socratic self-examination) ซึ่งทำอยู่ในโรงเรียนเอกชน แต่ทั้งนี้ก็คาดหวังด้วยว่าการจัดระบบการศึกษาควรขยายเข้าสู่ครอบครัวของเด็กด้วย เนื่องจากสิ่งแวดล้อมของเด็กมีทั้งวัฒนธรรมคล้ายและวัฒนธรรมต่าง เมื่อสัมพันธ์กับโลกรายรอบตัว การศึกษาถึงมาตรฐานทางสังคม สถาบันทางการเมือง โรงเรียน และครอบครัว ก็มีความสำคัญและมีส่วนในการสร้างความสำเร็จนี้ให้เกิดขึ้น

นุสบอมชี้ชวนให้ผู้อ่านเห็นด้วยกับเขาว่า “หากเราจะตระหนักถึงว่าจะพัฒนาพลเมืองของเรา เราก็จะต้องให้ความสนใจโดยไม่เบี่ยงเบนไปจากจุดสนใจนี้” (Nussbaum 2010: 9) การศึกษาของรัฐบาลหลายประเทศไม่ใช่การศึกษาเพื่อพลเมืองแต่เป็นการศึกษาเพื่อเตรียมประชาชนเข้าสู่การทำงาน อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าทั้งหลายมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ชีวิตมนุษย์ที่มีเหตุผลแตกต่างกันในหมู่พลเมือง เช่นมีศาสนาที่แตกต่าง มีความคิดเกี่ยวกับโลก วิถีชีวิตที่แตกต่าง ซึ่งพลเมืองมีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่จะต้องคิดก็คือ จะให้การศึกษามนุษยชาติที่มีหลายประเภทโดยมีการสนับสนุนเป้าหมายเฉพาะแต่ละบุคคลได้นั้นทำอย่างไร เราอาจจะต้องเห็นด้วยกับชาติต่างๆ ที่อยู่คนละฟากโลก ยินดีกับพวกเขาที่มีประชาธิปไตยและต้องการเติบโตขึ้นมามีส่วนร่วมกับรัฐบาลที่ประชาชนใช้สิทธิ์เลือกเขาเข้ามาทำงาน สังคมประชาธิปไตยในทุกที่ต่างก็มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย เช่น มีความแตกต่างทางศาสนา ชาติพันธุ์ ความมั่งคั่ง และชนชั้น ความแตกต่างทางกายภาพ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเพศสภาพ แต่พวกเขาก็คือผู้ลงคะแนนเสียงเพื่อสร้างทางเลือกต่อวิถีชีวิตท่ามกลางประชาชนที่มีความแตกต่างจากตัวเองเช่นกัน “ทางหนึ่งที่ดีก็คือการเตรียมเด็กให้ได้รับการศึกษาที่ทำให้เกิดคำถามว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร วิธีการนี้จะสามารถทำให้ชีวิตในรูปแบบองค์กรทางสังคม และการเมืองมีโฉมหน้าลักษณะเฉพาะขึ้นมาได้” (Nussbaum 2010: 9-10)

สรุปว่าหากไม่มีการสนับสนุนการศึกษาที่เหมาะสม ก็จะไม่มีประชาธิปไตยที่มั่นคงได้ จึงต้องบ่มเพาะความสามารถในการคิดอย่างวิพากษ์และสะท้อนถึงปัญหาที่ยากเย็น ต่อภารกิจอันที่จะเก็บรักษาชีวิตประชาธิปไตยให้อยู่รอดได้ และขยายวงของประชาธิปไตยออกไปได้ ความสามารถในการคิดได้ดีเกี่ยวกับวัฒนธรรมในวงกว้าง กลุ่มและชาติในบริบทของเศรษฐกิจโลก และประวัติศาสตร์ของชาติที่หลากหลาย และมีปฏิสัมพันธ์กลุ่ม ซึ่งเป็นความยากของการควบคุมการวางระเบียบที่ทำให้ประชาธิปไตยทำงานได้ในการตอบสนองกับปัญหาปัจจุบัน ซึ่งสมาชิกในโลกที่พึ่งพาอาศัยกันและกัน และมีความสามารถที่จะจินตนาการประสบการณ์อื่นๆ ความสามารถที่จะรองรับมนุษย์ทั้งหมดและสังคมมีความต้องการที่จะยกระดับปรับปรุง หากเรามีความหวังที่จะรักษาสถานะที่ตกทอดเป็นมรดกข้ามการแบ่งชั้นแตกต่างไม่เท่าเทียมกันเป็นจำนวนมากเพื่อให้สังคมสมัยใหม่ดำรงอยู่ได้

ส่วนผลประโยชน์ของชาติในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ก็คือต้องเรียกร้องต่อการแสวงหาทางเศรษฐกิจแบบเข้มข้น และเรียกร้องต่อวัฒนธรรมสิ่งตกแต่งทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเราจะต้องไม่เลือกระหว่างการศึกษาเพื่อกำไร หรือการศึกษาเพื่อพลเมืองที่ดี สิ่งที่ควรทำก็คือการศึกษาเพื่อความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและจะต้องใส่ใจกับความมั่นคงของประชาธิปไตย “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจหมายถึงมีมนุษย์เป็นที่สิ้นสุดจุดจบ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวเศรษฐกิจเอง” (Nussbaum 2010: 10)

สุดท้าย ณ จุดนี้ สิ่งพึงระวังก็คือ “ไม่มีระบบการศึกษาใดจะทำงานได้ดี หากผลกำไรส่งผลดีต่อเฉพาะคนร่ำรวย ซึ่งเป็นผู้นำ” การกระจายโอกาสการศึกษาและการได้รับคุณภาพการศึกษา เป็นประเด็นที่เร่งด่วนมากสำหรับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ประเทศประเทศสหรัฐอเมริกาถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใด แต่ก็มีเรื่องที่น่าอายที่การกระจายตัวของระบบการศึกษาและคุณภาพการศึกษาไม่มีความเท่าเทียมกัน แต่ผมไม่รู้จริงๆว่า การเร่งกระชับให้เยาวชนได้รับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน 


บรรณานุกรม
Nussbaum, Martha C'. Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanties. Princeton and Oxford: Princeton University Prees, 2010.

บทความนี้แก้ไขปรับปรุงจาก บทความ 
วิกฤติที่ไร้เสียง และการหันกลับมาศึกษามนุษยศาสตร์เพื่อความเป็นมนุษย์

เผยแพร่ที่ http://www.pataniforum.com/news_detail.php?news_id=16
วันที่ 31 Dec 2011